หน้าเว็บ

8/17/2558

นักบวชสตรี ๑๓. วัดเวฬุวัน วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา


 
  เมื่อลงจากเขาคิชกูฎแล้ว คณะกองทัพธรรมขึ้นรถบัส เดินทางต่อไปยัง วัดเวฬุวัน ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาที่พระเจ้าพิมพิสารถวายแก่พระพุทธเจ้า วัดนี้เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา กล่าวคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน ๔ ประการ ได้แก่
   ๑.) เป็นสถานที่ทีพระสงฆ์สาวกรุ่นแรก ๑,๒๕๐ รูป ได้มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
   ๒.) พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดนี้เป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง 
          ๓.) พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ ผู้ทรงอภิญญา ๖
  ๔.) วันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
       ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือวันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔
        เมื่อผู้อ่านได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงร้องอ๋อว่า สถานที่แห่งนี้มีความเกี่ยวพันกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่เราเรียนมาตอนเด็กๆคือ "วันมาฆบูชา"นั่นเอง ถึงตรงนี้แล้วผู้เขียนคิดว่าเนื้อหาของโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในวันนั้นคงต้องมีความพิเศษและสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทรงแสดงให้พระอรหันตสาวกจำนวนถึง ๑,๒๕๐ รูปฟัง จึงได้สืบค้นข้อมูลมาอ่านเป็นความรู้ เป็นการสร้างสัญญา(ความจำได้หมายรู้)ที่ดีแก่จิตใจของเรา ดังนี้
        โอวาทปาติโมกข์ มักถูกกล่าวถึงในแง่หลักธรรม ๓ อย่างเดียวว่า เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่เราท่องจำกันตอนเด็กๆ ได้แก่ การทำความดี ละเว้นความชั่ว และการทำจิตใจให้ผ่องใส แต่แท้จริงแล้ว ยังมีส่วนอื่นที่เป็นหลักการที่สำคัญของพระพุทธศาสนา ได้แก่ ความเหมือนและความแตกต่างของพระพุทธศาสนากับลัทธิความเชื่ออื่นๆที่แพร่หลายอยู่ในขณะนั้น รวมถึงวิธีการวางตัว การปฏิบัติตนของพระภิกษุ ที่จะออกไปเผยแพร่ "พรหมจรรย์" วิธีการครองชีวิตอันประเสริฐ เพื่อให้บรรลุถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือ พระนิพพาน อย่างไรก็ตามพระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง อาจสรุปใจความได้เป็นสามส่วน คือ หลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ และวิธีการ ๖
        ธรรมของพระพุทธองค์ต้องใช้ใจฟังจึงขอให้ผู้อ่านอ่านโดยใช้ตาเนื้อค่อยๆอ่านอักษร(รูป)ที่แสดงเนื้อธรรม และใช้ ตาใน คือ ใจผู้รู้ระลึกรู้ รู้สึกให้เข้าไปที่ใจ(นาม) ให้ใจเป็นภาชนะรองรับเนื้อธรรมที่ไหลรินเข้าสู่จิตสู่ใจ ดังนี้
        พระพุทธพจน์คาถาแรก
        ทรงกล่าวถึงอุดมการณ์อันสูงสุดของพระภิกษุและบรรพชิตในพระพุทธศาสนานี้ อันมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่น อันอาจเรียกได้ว่า อุดมการณ์ ๔ ของพระพุทธศาสนา ได้แก่
          ๑.) ความอดทนอดกลั้นเป็นสิ่งที่นักบวชในศาสนานี้พึงยึดถือ และเป็นสิ่งที่ต้องใช้เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจทุกอย่างที่ต้องเจอในชีวิตนักบวช เช่น ประสงค์ร้อนได้เย็น ประสงค์เย็นได้ร้อน
          ๒.) การมุ่งให้ถึงพระนิพพานเป็นเป้าหมายหลักของผู้ออกบวช มิใช่สิ่งอื่นนอกจากพระนิพพาน
          ๓.) พระภิกษุและบรรพชิตในพระธรรมวินัยนี้ (เช่น ภิกษุณี สามเณร สามเณรี สิกขมานา) ไม่พึงทำผู้อื่นให้ลำบากด้วยการเบียดเบียนทำความทุกข์กายหรือทุกข์ทางใจไม่ว่าจะในกรณีใดๆ
          ๔.) พึงเป็นผู้มีจิตใจสงบจากอกุศลวิตกทั้งหลายมีความโลภ โกรธ หลง เป็นต้น   
          พระพุทธพจน์คาถาที่สอง
          ทรงกล่าวถึง "หลักการอันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้งปวงโดยย่อ" หรือ หลักการ ๓ กล่าวกันเป็นการสรุปรวบยอดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอันเป็นแนวทางที่พุทธบริษัทพึงปฏิบัติ ได้แก่
          ๑.) การไม่ทำบาปทั้งปวง
          ๒.) การทำกุศลให้ถึงพร้อม
          ๓.) การทำจิตใจให้บริสุทธิ์
          มีผู้อธิบายว่าทั้งสามข้อนี้อาจอนุมานเข้ากับ ศีล สมาธิ และปัญญา
           พระพุทธพจน์คาถาที่สาม
         หมายถึงวิธีการที่ธรรมทูตผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นกลยุทธ พระภิกษุที่ออกเผยแผ่พระพุทธศาสนาซึ่งมีเป็นจำนวนมากให้ใช้วิธีการเหมือนกันเพื่อจะได้เป็นไปในแนวทางเดียวกันและถูกต้องเป็นธรรม ได้แก่ วิธีการทั้ง ๖
         ๑.) การไม่กล่าวร้าย (เผยแผ่ศาสนาด้วยการไม่กล่าวร้ายโจมตีดูถูกความเชื่อผู้อื่น)
         ๒.) การไม่ทำร้าย(เผยแผ่ศาสนาด้วยการไม่ใช้กำลังบังคับข่มขู่ด้วยวิธีการต่างๆ)
         ๓.) ความสำรวมในปาติโมกข์ (รักษาความประพฤติให้น่าเลื่อมใส)
         ๔.) ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร (เสพปัจจัยสี่อย่างรู้ประมาณพอเพียง)
         ๕.) ที่นั่งนอนอันสงัด (สันโดษไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ)
         ๖.) ความเพียรในอธิจิต (พัฒนาจิตใจเสมอมิใช่ว่าเอาแต่สอนแต่ตนเองไม่กระทำตามที่สอน)
         เมื่ออ่านเนื้อความในโอวาทปาติโมกข์อย่างตั้งใจแล้ว พบว่าเนื้อความในโอวาทปาติโมกข์นี้ มีความลึกซึ้งยิ่งนัก ทั้งหลักการเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่ทรงสอนให้ไม่เบียดเบียนศาสนาอื่นหรือการสอนเขาได้ และเราต้องทำตามที่สอนได้ด้วย หลักธรรมนี้เราสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี หากเราดำรงไว้ซึ่งความมีสติสัมปชัญญะในชีวิตประจำวัน การคิด  การกระทำ และคำพูด ให้เป็นไปตามหลักธรรมนี้ นับได้ว่าเราเป็นผู้ประพฤติ "พรหมจรรย์" มีการครองชีวิตอันประเสริฐ  ที่สุดแล้วจะมีสติปัญญาในทางธรรมตามกำลังของตนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น