หลังการจาริกกูฏาคารศาลาแล้ว
เย็นวันนั้นคณะกองทัพธรรมได้เดินทางไปทำวัตรเย็นวัดไทยไวสาลี ซึ่งเป็นวัดที่คณะสงฆ์กองทัพธรรมจำวัด ความรู้ที่ได้จากการฟังธรรมในคืนนี้ คือ
ได้ทราบว่าเมืองเวสาลีนี้เคยเกิดอหิวาตกโรคระบาดและพระพุทธองค์ได้ทรงเมตตาช่วยระงับโรคระบาด
ผู้เขียนได้สืบค้นเรื่องราวน่ามหัศจรรย์ของพลังแห่งพุทธคุณในคราวนั้นมาประดับความรู้
ดังนี้
สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งเกิดอหิวาตกโรคระบาดที่เมืองเวสาลี ในช่วงเวลานั้นเกิดภัยแล้ง ข้าวกล้าในไร่นาเกิดความเสียหายหนัก ผู้คนอดอยากและล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวเมืองเวสาลีนำซากศพเหล่านั้นไปทิ้งไว้นอกเมือง กลิ่นซากศพนั้น
เหม็นตลอดไปทั่วพระนคร กาลนั้น หมู่อมนุษย์ทั้งหลาย
ก็เข้ามากินซากศพ แล้วตรงเข้าไปสู่พระนคร เป็นเหตุให้ชนผู้คนในพระนครติดอหิวาตกโรค และโรคนานา จนผู้คนล้มตายลงเป็นอันมาก ในพระไตรปิฎกกล่าวว่า
“เพราะกลิ่นซากศพของคนที่ตายทั้งหลาย พวกอมนุษย์ทั้งหลายก็เข้าเมือง
ต่อแต่นั้นคนก็ตายมากต่อมาก เพราะความปฏิกูลนั้น
อหิวาตกโรคย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลาย”
ขณะนั้นกล่าวได้ว่า นครไพสาลี มีภัยเกิดขึ้น ๓ ประการ คือ
๑. ทุพภิกขภัย
ข้าวยากหมากแพง มนุษย์ล้มตายลงเพราะอดอาหาร
๒. อมนุษย์ภัยเบียดเบียน
ตายด้วยภัยของอมนุษย์
๓. โรคภัย
ผู้คนล้มตายด้วยโรคภัยต่าง ๆ มีอหิวาตกโรค เป็นต้น
ชาวเมืองเวสาลีช่วยกันค้นหาสาเหตุของทุพภิกขภัยครั้งนี้ ได้กราบทูลพระราชา(คือพระเจ้าลิจฉวี)
ว่า คงเป็นเพราะพระองค์ไม่ตั้งอยู่ในธรรมกระมัง จึงเกิดทุกข์เข็ญเช่นนี้ พระราชาจึงรับสั่งให้ช่วยตรวจสอบว่าพระองค์ไม่ตั้งอยู่ในธรรมข้อใด ประชาชนก็ช่วยกันพิจารณาตรวจสอบแต่ไม่พบข้อบกพร่องแต่อย่างใด ต่อมามีบางพวกเสนอว่า
บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว พระองค์เป็นผู้มีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมาก ขอได้โปรดกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระพุทธองค์มาโปรดชาวเมืองเวสาลีด้วยเถิด
ในขณะนั้นพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์และพระเจ้าพิมพิสารทรงอุปัฏฐากพระพุทธองค์อยู่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบว่าชาวเมืองเวสาลีได้ทูลอาราธนาพระองค์เสด็จดับทุกข์ให้ จึงทรงรับด้วยทรงทราบชัดว่า
"เมื่อเราแสดงรัตนสูตรในเมืองเวสาลีแล้ว อารักขาจะแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักรวาล
ในเวลาจบพระสูตร ธรรมาภิสมัยจักมีแก่สัตว์แปดหมื่นสี่พัน"
(ธรรมาภิสมัย : ความหมายจากพจนานุกรมแปล ไทย-ไทย
ราชบัณฑิตยสถาน: การตรัสรู้ธรรม
การสําเร็จมรรคผล)
พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ รูป
จึงเสด็จไปยังนครเวสาลีเมื่อพระองค์เสด็จไปถึงเมืองเวสาลี เกิดฝนตกหนัก เรียกว่า "ฝนโบกขรพรรษ"
ซึ่งมีลักษณะพิเศษดังนี้
๑. น้ำฝนนี้มีสีแดงดังเท้านกพิราบหลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกลเหมือนเสียงสายฝนธรรมดา
๒. ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียก หากมิได้ปรารถนาแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียก
๓. เมื่อถูกกายแล้วจะหล่นสู่พื้นดินเสมือนหยาดน้ำที่ตกลงสู่ใบบัวแล้วกลิ้งตกลงไปฉะนั้น
๔. ไม่เจิ่งนองพื้นดิน
เมื่อตกลงแล้วก็ซึมหายไปในแผ่นดินทันทีเป็นฝนพิเศษ
ฝนโบกขรพรรษนี้ตกหนักจนเกิดน้ำท่วมถึงเข่าถึงเอวถึงคอ แล้วน้ำพัดพาเอาซากศพเหล่านั้นลงไปในแม่น้ำคงคาจนหมดสิ้น
แผ่นดินก็สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น
ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนอยู่ที่ประตูพระนครตรัสเรียกพระอานนท์มาแล้วตรัสสอน "รัตนสูตร"แก่พระอานนท์ แล้วโปรดให้ทำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมไปทั่วเมือง ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า
“เพื่อกำจัดอุปัทวะเหล่านั้น ที่ประตูพระนครเวสาลี สวดอยู่เพื่อป้องกัน ใช้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตักน้ำ
เที่ยวประพรมอยู่ทั่วพระนคร ก็เมื่อพระเถระกล่าวคำว่า "ยังกิญจิ"เท่านั้น พวกอมนุษย์ทั้งหลายที่อาศัยกองหยากเยื่อ และประเทศแห่งฝาเรือนเป็นต้น ซึ่งยังไม่หนีไปในกาลก่อน ก็พากันหนีไปทางประตูทั้ง ๔ เมื่อพวกอมนุษย์ไปกันแล้ว โรคของมนุษย์ทั้งหลายก็สงบ”
นี่เองเป็นที่กำเนิดของ"รัตนสูตร" และการทำน้ำพระพุทธมนต์ครั้งแรกในพุทธศาสนา สำหรับบทสวดรัตนสูตรหรือรัตนปริตร จัดเป็นหนึ่งในพระปริตรหรือพระคาถาพรรณนาอานุภาพของพระรัตนตรัย เนื้อมนต์สรรเสริญคุณของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ การตั้งจิตของอาราธนาเอาคุณความดีของพระรัตนตรัยนั้นมาปกปักรักษาตน ช่วยทำลายความทุกข์โศกให้สิ้นไปและขออำนวยความสุขสวัสดิ์แก่ตน
เรื่องราวของเวสาลียังมีอีกหลายประการ
หากสืบค้นมาเล่าโดยละเอียด ผู้เขียนคงจะจัดทำบทความนี้ไม่เสร็จได้ง่ายๆ จึงขอบันทึกหัวเรื่องไว้ให้ท่านที่สนใจไปหาอ่านกันตามสะดวก ได้แก่ กำเนิดของพระสูตรต่างๆ และเรื่องราวความแตกแยกของสงฆ์เนื่องจากการปฏิบัติพระวินัยแตกต่างไปจากพระสงฆ์ส่วนใหญ่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น