กองทัพธรรมออกเดินทางจากสาลวโนทยานเพื่อไปสู่ “มกุฏพันธนเจดีย์”
ซึ่งอยู่ห่างจากวิหารปรินิพพาน สาลวโนทยาน ประมาณ ๑.๖ กิโลเมตร
สถานที่นี้ในสมัยนั้นเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญ คือ
พิธีสวมมงกุฎของพระเจ้ามัลละ ก่อนจะขึ้นครองราชย์
และถูกใช้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธองค์
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว บรรดาพระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลายต่างก็เกิดธรรมสังเวช บรรดาพระสาวกที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลต่างก็มีความเศร้าโศกเสียใจอาลัยถึงพระบรมศาสดา บรรดา มัลละกษัตริย์ พระราชาทั้งหลาย เมื่อได้ทราบข่าวพระปรินิพพานของพระพุทธเจ้าต่างก็นำผ้าไหมสีขาว บริสุทธิ์อย่างดี ๕๐๐ ชุดนำมาสักการะพระบรมศพ พร้อมด้วยดอกไม้ของหอมนานาชนิดมาสักการะบูชา พระบรมศพอยู่เป็นเวลา ๗ วัน พอถึงวันที่ ๘ วันอัตถะ เดือนหก แรม ๘ ค่ำ จึงได้เชิญพระบรมศพแห่ไป ประดิษฐานไว้ที่ มกุฎพันธนเจดีย์แล้ว เตรียมการถวายพระเพลิง
การตกแต่งพระบรมศพนั้น พระอานนท์ได้แจ้งข่าวให้ชาวมัลละกษัตริย์ทรงทราบ คือ ห่อพระบรมศพด้วย ผ้าขาวซับด้วยสำลี ๒ ชั้น แล้วเอาฝ้ายมัด เอาผ้าหุ้มห่อพระบรมศพโดยอย่างเดียวกันถึง ๕๐๐ ชั้น แล้ว เชิญพระบรมศพใส่โลงในพระหีบทองคำเชิญพระบรมศพขึ้นสู่พระสุเมรุที่ทำด้วยแก่นจันทน์สูงประมาณ ๑๖๐ ศอก ได้เวลาถวายพระเพลิง กษัตริย์มัลละ ๔ พระองค์ก็ได้นำเพลิงเข้าบรรจุ แต่เพลิงก็ไม่ได้ ลุกไหม้ จึงได้ตรัสถามพระอนุรุทธแล้วได้ความว่า เทพยดาที่รักษาพระบรมศพมีความปรารถนาจะให้รอ “พระมหากัสปปะ” ซึ่งเป็นพระสาวกผู้ใหญ่ก่อน ในวันนั้นเอง พระมหากัสสปปะพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปได้เดินทางมาเฝ้าพระพุทธองค์ พอมาถึงระหว่างกลางทางก็ได้ทราบข่าวจากอาชีวกว่า สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานไปได้ ๗ วันแล้ว บรรดาพระภิกษุที่เป็นปุถุชนเมื่อได้ฟังคำ บอกกล่าวของอาชีวกตนนั้น ต่างล้มกลิ้งเกลือกร้องไห้ร่ำไรรำพันว่า โอ้พระศาสดามาด่วนปรินิพพานเสียแล้ว ดวงประทีปส่องโลกดับสูญสิ้นแล้ว ฝ่ายพระสาวกที่เป็นขีณาสพก็บังเกิดธรรมสังเวช
พระมหากัสปปะได้กล่าวพระธรรมคาถา“อนิจจัง วัตตะ สังขารา” (สังขารเป็นสิ่งที่ไม่ที่ยง) เพื่อระงับความโศกเศร้าของพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวง แล้วรีบพากันไปยัง มกุฎพันธนเจดีย์ ใกล้เมืองกุสินารา เข้าไปยังพระสุเมรุ น้อมนมัสการประกอบพิธีประทักษิณ (เวียนเทียน) พระสุเมรุอยู่ ๓ รอบเสร็จ
แล้วเขาไปยืนทางขวาเบื้องพระบาทของพระบรมศพแล้วน้อมอภิวาท กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระบรมครู ข้าพระองค์ชื่อพระมหากัสสปะเป็นสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงได้ตั้ง ข้าพระพุทธเจ้าไว้ในที่เลิศฝ่ายธุดงค์การปฏิบัติ ข้าพระองค์มีความเคารพต่อพระองค์อย่างสูงสุด ด้วยคำสัตย์ของข้าพระองค์นี้ ขอให้พระบาทยุคลจงเหยียดยื่นออกมาจากพระหีบทองคำ เพื่อรับพระหัตถ์ทั้งสองของข้าพระองค์ ผู้ชื่อ กัสสปะนบน้อมอภิวาทอยู่ในบัดนี้ (ขอนิมนต์ลอดพระบาทออกมานอก พระหีบทองคำ)”
ทันใดนั้น พระบาททั้งคู่ได้สอดออกจากผ้า ๒ ชั้น ซึ่งห่อหุ้มพระวรกาย
อยู่ถึง ๕๐๐ ชั้น ออกมาปรากฎภายนอกให้เห็น พระมหากัสสปะก็ยื่นพระหัตถ์ทั้งสองข้างออกรับพระพุทธบาทแล้ว กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระบรมครูตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าดำรงอยู่ในอริยภูมิ ข้าพระพุทธบาทไม่ได้ล่วงพุทธโอวาท ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ตลอดมา วันนี้พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ ข้าพระบาทอย่างล้นเหลือ แต่ข้าพระบาทก็ไม่ได้อยู่ปรนนิบัติพระองค์ ขอพระองค์ทรงพระมหากรุณา โปรดอภัยแก่ข้าพระพุทธเจ้าในบัดนี้เถิด”
เมื่อพระมหากัสสปะกล่าวเสร็จแล้ว ก็น้อมนมัสการแก่ พระบาท ทันใดนั้นพระบาททั้งสอง ก็กลับคืนเข้าสู่พระหีบทองคำดังเก่า พระเพลิงก็อภินิหารติดไหม้ขึ้น บนพระสุเมรุทันที เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพได้ ๗ วันแล้ว มัลละกษัตริย์ทั้งหลายก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุ อัญเชิญพระบรมธาตุขึ้นหลังช้างแห่เข้าสู่พระนคร ประดิษฐาน ณ รัตนบัลลังก์ภายใต้เศวต ฉัตร แล้วได้จัดให้มีพิธีมหรสพ สมโภชพระบรมสารีริกธาตุอยู่นานเป็นเวลา ๗ วัน
“วันอัตถะมี” คือ วันแรม ๘ ค่ำเดือน ๖ ปีจอ หรือเรียกกันว่า “วันถวายพระเพลิง” ได้เป็นวันหนึ่งที่สำคัญ สืบต่อมาในทางพระพุทธศาสนามาถึงทุกวันนี้
ที่นี่ พระอาจารย์พี่เลี้ยง ได้นำคณะสงฆ์กองทัพธรรมเดินจงกรมเวียนประทักษิณรอบพระสุเมรุ ๓ รอบ เช่นเดียวกับครั้งที่พระมหากัสสปะ พระสาวกที่เป็นเลิศฝ่ายธุดงค์การปฏิบัติ และพระภิกษุได้ปฏิบัติมาในครั้งพุทธกาล ในการนี้ แม่พรหมจาริณีบางท่านรวมทั้งผู้เขียนได้ร่วมการเดินจงกรมครั้งนี้ด้วย ขณะที่แม่พรหมจาริณีอีกส่วนหนึ่งนั่งกรรมฐานปฏิบัติบูชาอยู่ที่ด้านข้างพระสุเมรุ
การเดินจงกรมบนแผ่นหินทางเดินในยามบ่ายที่มีอุณหภูมิคะเนแล้วน่าจะราวสี่สิบองศาเซลเซียส เป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง พระสงฆ์ และแม่พรหมจาริณี กองทัพธรรมกว่าสองร้อยรูปตั้งใจปฏิบัติบูชาถวายพระองค์ท่าน หลายท่านเดินจงกรมช้าๆ ค่อยๆก้าว ยก ย่าง เหยียบ เสียงพระอาจารย์เร่งให้คะเนเวลา เนื่องจากหากเดินช้ามากจะไม่ทันเวลาที่มีอย่างจำกัด
ผู้เขียนตั้งใจเดินจงกรมปฏิบัติบูชาถวายพระพุทธองค์เวียนประทักษิณให้ครบสามรอบเฉกเช่นครั้งพุทธกาล แม้ว่าจะร้อนทั้งแสงแดด และร้อนที่ฝ่าเท้าสัมผัสแผ่นหินทางเดินก็ตาม การเดินจงกรมนี้เดินตามวิธีที่หลวงพ่อสอนมา ท่านให้ใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อตั้งใจให้สัจจะกับตัวเองแล้ว ก็ใช้สติระลึกรู้ที่รูปกาย ซึ่งเมื่อสติระลึกรู้รูปกาย ก็จะเห็นลมหายใจ ลมหายใจนี้หายใจเข้าสุดที่ฐานใจ อันเป็นฐานระลึกรู้ ลมหายใจออกกระจายจากฐานใจหล่อเลี้ยงร่างกายทำให้เห็นรูปกายโดยอัตโนมัติ และเพิ่มการกำหนดให้ลมนี้เคลื่อนมาเป่าระบายความร้อนขณะที่ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นทางเดิน การยกย่างเหยียบ กระทำอย่างกระฉับกระเฉง และสำรวม กายขยับรีบเร่ง ระลึกรู้ที่ใจไม่เคลื่อน สติตามให้ทันทุกย่างก้าวที่สัมผัสพื้น ด้วยภาวะนี้ ตัวจึงโปร่ง เบา สบาย การเดินเวียนสามรอบนี้ใช้เวลานานหลายสิบนาที เนื่องจากพระสุเมรุนี้มีขนาดใหญ่ จะด้วยศรัทธาหรืออะไรก็สุดแท้ ฝ่าเท้าของผู้เขียนไม่มีอาการพองหรือเจ็บปวดหลังจากการเดินจงกรมในครั้งนี้
เมื่อเวียนเทียนเสร็จผู้เขียนได้เข้าไปกราบหน้าแท่นบูชา วางเทียนบูชาที่เพื่อนแม่ๆแบ่งมาให้ และธนบัตรอันมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แนบหน้าผากลงกับแผ่นหินบูชา แนบใจ น้อมจิตน้อมใจบูชาพระองค์ท่าน บูชาพระพุทธองค์ คือ พระพุทธศาสนา บูชาในหลวง คือ พระมหากษัตริย์ และผู้บูชา คือ ข้าราชการทหาร อันเป็นคนของแผ่นดินนี้ ชาติที่เรามีหน้าที่ปกป้องรักษา แม้กายเป็นหญิง เรานี้ได้เป็นทหารหญิง ขอสามสถาบันนี้ได้รวมเป็นหนึ่ง ประเทศชาติของเราจงร่มเย็นเป็นปึกแผ่น อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้งแตกแยกกันเลย
ลูกได้มากราบพระสรีระของพระพุทธองค์ ณ สถานที่แห่งนี้ ตอนนี้จิตใจที่เศร้าโศกอาดูร ณ การจาริกยังสถานที่เสด็จพระปรินิพพานที่ผ่านมาได้คลายลงมากแล้ว มันกลับมาตั้งมั่นอีกครั้ง ด้วยระลึกถึงปัจฉิมโอวาทที่พระองค์ท่านได้มอบไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ความว่า
“อานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดีที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไป แห่งเรา”
“ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความ ไม่ประมาทเถิด”
เสียงนี้ก้องอยู่ในใจ ผู้เขียนบอกกับตัวเองว่า ลูกจะยึดถือพระพุทธโอวาทนี้เป็นแนวทางตามที่พระพุทธองค์ให้ไว้ พระองค์ท่านได้ให้พระธรรมเป็นเครื่องนำทางแก่พวกเรา พระองค์ท่านเสด็จปรินิพพานแล้ว เราไม่ได้เข้าเฝ้าท่านแล้ว หนทางเดียวที่เราจะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์อีก ก็คืออยู่กับธรรมของพระพุทธองค์ ขอให้เห็นธรรมในใจเสมือนได้มีพระพุทธองค์อยู่ในใจ....สาธุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น