หน้าเว็บ

8/17/2558

นักบวชสตรี ๑๒. เขาคิชกูฏสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่


 

          รถบัสของคณะกองทัพธรรมเข้านครราชคฤห์แล้ว ก็แล่นขึ้นสู่เชิงเขาคิชฌกูฏ เขาคิชกูฏนี้มีความสำคัญทางพุทธศาสนา คือ เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาจำพรรษาที่ราชคฤห์เป็นเวลา ๕ พรรษา โดยมีพระคันธกุฎีอยู่บนยอดเขาคิชกูฏ และภายในพระเวฬุวัน นอกจากนี้ ยังเป็นสถานที่ที่ทำ "สังคายนา" รวบรวมพระธรรมวินัย หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๓ เดือน โดยพระมหากัสสปะ ชักชวน หมู่สงฆ์ร่วมกันรวบรวมพระธรรมวินัยและพระธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าเป็นคัมภีร์ เป็นหมวดหมู่ เป็นวรรค เป็นตอน ได้เลือกเอาพระอรหันต์ที่แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ จำนวน ๕๐๐ องค์ มีพระอานนท์เป็นผู้ตอบปัญหาเรื่องธรรม พระอุบาลีตอบเรื่องพระวินัย พระมหากัสสปะเถระเป็นผู้ยกประเด็นขึ้นถาม พอตอบเสร็จ พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ องค์ ก็พากันสวดสาธยายข้อความนั้นพร้อมๆกันเพื่อจดจำไว้ การสังคายนานี้ เป็นการรวบรวมพระธรรมวินัย  ไว้เป็นเนิ่นๆ เรียกว่า "ตีเหล็กกำลังร้อน" จึงทำให้ คำสอนได้รับการทรงจำ และสืบต่อมาถึงรุ่นของเราอย่างสมบูรณ์ที่สุด พวกท่านได้จัดทำกันอยู่ ๑ เดือนถ้ำสัตตบรรณคูหา (ซึ่งคณะเราไม่ได้ไปแสวงบุญ เนื่องจากเวลาจำกัด)   ถ้ำนี้อยู่ด้านทิศเหนือของภูเขาเวภารบรรพต เดินผ่าน ตโปทาราม ขึ้นเขาไปราว ๑.๕ - ๒ กิโลเมตร โดยพระเจ้าอชาติศัตรูถวายการอุปถัมภ์อยู่ราว ๓ เดือน
          เมื่อรถบัสเดินทางมาถึงเชิงทางขึ้นเขาคิชกูฏ  คณะกองทัพธรรมก็ลงจากรถบัส แล้วเดินเรียงแถวกันขึ้นเขา เสียงคุณแม่เมตตากระตุ้นเตือนให้ พวกเราตื่นตัวเช่นเคย ด้วยว่าเริ่มสายแล้ว แดดเริ่มแรง ทั้งยังมีตารางการจาริกอีกหลายแห่ง  ทางขึ้นเขาเป็นทางเดินปูด้วยหิน ไม่ชันเหมือนเขาคิชกูฏที่ประเทศไทย ผู้ที่มีกำลังวังชายังแข็งแรงก็เดินขึ้นหน้าไปก่อน ผู้สูงวัยอย่างผู้เขียนและอีกหลายท่านที่สังขารไม่อำนวย ข้อเข่าไม่ค่อยแข็งแรงก็ค่อยๆ  เดินขึ้นไป
          ผู้เขียนกับเพื่อนแม่ใหม่คุยกันว่า เราจะเดินขึ้นเขาด้วยความรู้ตัวจะได้ไม่เหนื่อย ผู้เขียนเข้าสภาวะความรู้ตัวตามที่ครูบาอาจารย์สอนมา โดยน้อมสติมาระลึกรู้ที่รูปกาย มองรูปกายที่เคลื่อนไหวเดิน ตาเนื้อมองภายนอก ตาใน คือ ตาสติมองรูปกาย  ซึ่งเมื่อละเอียดขึ้น มองกายก็จะเห็นลมหายใจ คือ อานาปานสติที่มีลมละเอียดหล่อเลี้ยงกายโดยอัตโนมัติ ภาวะนี้เมื่อเข้าแล้วกายจะโปร่งเบาสบาย ไม่หนัก ทำให้เดินขึ้นเขาได้ (ขออธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ว่าจะขึ้นเขาได้ แต่อย่างไรก็ตามกายหยาบของเราที่อายุมากแล้วนี้  ย่อมต้องเสื่อมถอยและแสดงอาการปวดเมื่อยได้ เพียงแต่การปฏิบัตินี้ทำให้คลายความยึดมั่นถือมั่นในความเจ็บปวดลงได้บ้าง)
          ระหว่างทางขึ้นเขานี้ มีสถานที่สำคัญ ได้แก่ ถ้ำที่พักอาศัยของพระโมคคัลลานะเถระ ถ้ำสุกรขาตาที่พระสารีบุตรได้บรรลุธรรม (ตรงนี้มีเกร็ดว่า พระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ช้ากว่าพระโมคคัลลานะ เนื่องจากเป็นผู้มีปัญญามาก จึงใช้เวลาใคร่ครวญนานกว่า) เมื่อขึ้นถึงยอดเขา ทิวทัศน์โดยรอบมีภูเขารายรอบสวยงามมาก มีหินรูปร่างแปลกตาตั้งอยู่บนชะง่อนผาที่ดูเหมือนจะหล่นไม่หล่นแหล่ หากแต่หินนี้ยังคงตั้งอยู่มาได้นานตราบเท่าทุกวันนี้  บนยอดเขานี้มีถ้ำที่เป็นกุฎีของพระอานนท์ อยู่ใกล้ๆกับพระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงอิฐแดงก่อเป็นแนวขอบเขต และแท่นบูชาสำหรับกราบไหว้ หลวงตาบอกว่า พระอานนท์จะอยู่ใกล้กับพระพุทธองค์เพื่อคอยรับใช้ดูแลท่าน บนเขานี้เป็นสถานที่ประทับพรรษาแรกของพระพุทธเจ้า เป็นสถานที่เงียบสงัด พระองค์จึงมักเสด็จมาที่นี่เสมอ                  
            คุณแม่นำคณะกองทัพธรรมสวดมนต์ปฏิบัติบูชาถวายพระองค์ท่าน ผู้เขียนน้อมใจระลึกถึงพระองค์ท่านและพระอัครสาวก จากนั้นก็แยกย้ายกันเดินลงจากเขา แวะกราบสักการะปิดทองตามอัธยาศัย ที่นี่ ผู้เขียนน้อมใจระลึกถึงว่า วันนี้เราได้มีโอกาสมาถึงพระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ คณะกองทัพธรรมหลายท่านรวมทั้งผู้เขียนบรรจงปิดแผ่นทองและแนบหน้าผากลงบนแผ่นหินหน้าพระคันธกุฎี น้อมจิตน้อมใจระลึกถึงพระองค์ท่านและพระอัครสาวก ได้แก่ พระอานนท์ที่คอยอยู่ใกล้ชิดดูแลพระองค์ท่าน พระโมคัลลานะที่เป็นเลิศทางฤทธิ์ และพระสารีบุตรที่เป็นเลิศทางปัญญา วันนี้เราได้มาเยือนสถานที่ที่ท่านเหล่านี้เคยพักอยู่ สถานที่เดียวกัน แต่ต่างกันที่เวลากว่าสองพันหกร้อยปี พละ ๕ ในข้อแรก คือ ศรัทธา ได้เพิ่มพูนขึ้นในจิตในใจอีกครา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น