รถบัสของคณะกองทัพธรรมเข้านครราชคฤห์แล้ว ก็แล่นขึ้นสู่เชิงเขาคิชฌกูฏ
เขาคิชกูฏนี้มีความสำคัญทางพุทธศาสนา คือ
เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาจำพรรษาที่ราชคฤห์เป็นเวลา ๕ พรรษา
โดยมีพระคันธกุฎีอยู่บนยอดเขาคิชกูฏ
และภายในพระเวฬุวัน นอกจากนี้
ยังเป็นสถานที่ที่ทำ "สังคายนา" รวบรวมพระธรรมวินัย
หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๓ เดือน
โดยพระมหากัสสปะ ชักชวน หมู่สงฆ์ร่วมกันรวบรวมพระธรรมวินัยและพระธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าเป็นคัมภีร์ เป็นหมวดหมู่ เป็นวรรค เป็นตอน ได้เลือกเอาพระอรหันต์ที่แตกฉานในปฏิสัมภิทา ๔ จำนวน ๕๐๐ องค์ มีพระอานนท์เป็นผู้ตอบปัญหาเรื่องธรรม
พระอุบาลีตอบเรื่องพระวินัย พระมหากัสสปะเถระเป็นผู้ยกประเด็นขึ้นถาม พอตอบเสร็จ
พระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ องค์ ก็พากันสวดสาธยายข้อความนั้นพร้อมๆกันเพื่อจดจำไว้ การสังคายนานี้
เป็นการรวบรวมพระธรรมวินัย ไว้เป็นเนิ่นๆ
เรียกว่า "ตีเหล็กกำลังร้อน" จึงทำให้ คำสอนได้รับการทรงจำ และสืบต่อมาถึงรุ่นของเราอย่างสมบูรณ์ที่สุด
พวกท่านได้จัดทำกันอยู่ ๑ เดือน ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา
(ซึ่งคณะเราไม่ได้ไปแสวงบุญ เนื่องจากเวลาจำกัด)
ถ้ำนี้อยู่ด้านทิศเหนือของภูเขาเวภารบรรพต
เดินผ่าน ตโปทาราม ขึ้นเขาไปราว ๑.๕ - ๒
กิโลเมตร โดยพระเจ้าอชาติศัตรูถวายการอุปถัมภ์อยู่ราว ๓ เดือน
เมื่อรถบัสเดินทางมาถึงเชิงทางขึ้นเขาคิชกูฏ คณะกองทัพธรรมก็ลงจากรถบัส
แล้วเดินเรียงแถวกันขึ้นเขา เสียงคุณแม่เมตตากระตุ้นเตือนให้ พวกเราตื่นตัวเช่นเคย ด้วยว่าเริ่มสายแล้ว แดดเริ่มแรง ทั้งยังมีตารางการจาริกอีกหลายแห่ง
ทางขึ้นเขาเป็นทางเดินปูด้วยหิน ไม่ชันเหมือนเขาคิชกูฏที่ประเทศไทย
ผู้ที่มีกำลังวังชายังแข็งแรงก็เดินขึ้นหน้าไปก่อน ผู้สูงวัยอย่างผู้เขียนและอีกหลายท่านที่สังขารไม่อำนวย
ข้อเข่าไม่ค่อยแข็งแรงก็ค่อยๆ เดินขึ้นไป
ผู้เขียนกับเพื่อนแม่ใหม่คุยกันว่า
เราจะเดินขึ้นเขาด้วยความรู้ตัวจะได้ไม่เหนื่อย ผู้เขียนเข้าสภาวะความรู้ตัวตามที่ครูบาอาจารย์สอนมา โดยน้อมสติมาระลึกรู้ที่รูปกาย มองรูปกายที่เคลื่อนไหวเดิน ตาเนื้อมองภายนอก ตาใน คือ ตาสติมองรูปกาย ซึ่งเมื่อละเอียดขึ้น
มองกายก็จะเห็นลมหายใจ คือ อานาปานสติที่มีลมละเอียดหล่อเลี้ยงกายโดยอัตโนมัติ
ภาวะนี้เมื่อเข้าแล้วกายจะโปร่งเบาสบาย ไม่หนัก ทำให้เดินขึ้นเขาได้ (ขออธิบายเพิ่มเติมว่า แม้ว่าจะขึ้นเขาได้
แต่อย่างไรก็ตามกายหยาบของเราที่อายุมากแล้วนี้ ย่อมต้องเสื่อมถอยและแสดงอาการปวดเมื่อยได้ เพียงแต่การปฏิบัตินี้ทำให้คลายความยึดมั่นถือมั่นในความเจ็บปวดลงได้บ้าง)
ระหว่างทางขึ้นเขานี้ มีสถานที่สำคัญ ได้แก่ ถ้ำที่พักอาศัยของพระโมคคัลลานะเถระ ถ้ำสุกรขาตาที่พระสารีบุตรได้บรรลุธรรม
(ตรงนี้มีเกร็ดว่า พระสารีบุตรบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ช้ากว่าพระโมคคัลลานะ เนื่องจากเป็นผู้มีปัญญามาก จึงใช้เวลาใคร่ครวญนานกว่า) เมื่อขึ้นถึงยอดเขา
ทิวทัศน์โดยรอบมีภูเขารายรอบสวยงามมาก มีหินรูปร่างแปลกตาตั้งอยู่บนชะง่อนผาที่ดูเหมือนจะหล่นไม่หล่นแหล่
หากแต่หินนี้ยังคงตั้งอยู่มาได้นานตราบเท่าทุกวันนี้ บนยอดเขานี้มีถ้ำที่เป็นกุฎีของพระอานนท์
อยู่ใกล้ๆกับพระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า
ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงอิฐแดงก่อเป็นแนวขอบเขต และแท่นบูชาสำหรับกราบไหว้
หลวงตาบอกว่า พระอานนท์จะอยู่ใกล้กับพระพุทธองค์เพื่อคอยรับใช้ดูแลท่าน
บนเขานี้เป็นสถานที่ประทับพรรษาแรกของพระพุทธเจ้า
เป็นสถานที่เงียบสงัด พระองค์จึงมักเสด็จมาที่นี่เสมอ
คุณแม่นำคณะกองทัพธรรมสวดมนต์ปฏิบัติบูชาถวายพระองค์ท่าน ผู้เขียนน้อมใจระลึกถึงพระองค์ท่านและพระอัครสาวก จากนั้นก็แยกย้ายกันเดินลงจากเขา แวะกราบสักการะปิดทองตามอัธยาศัย ที่นี่
ผู้เขียนน้อมใจระลึกถึงว่า วันนี้เราได้มีโอกาสมาถึงพระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้า
เป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ คณะกองทัพธรรมหลายท่านรวมทั้งผู้เขียนบรรจงปิดแผ่นทองและแนบหน้าผากลงบนแผ่นหินหน้าพระคันธกุฎี น้อมจิตน้อมใจระลึกถึงพระองค์ท่านและพระอัครสาวก ได้แก่
พระอานนท์ที่คอยอยู่ใกล้ชิดดูแลพระองค์ท่าน พระโมคัลลานะที่เป็นเลิศทางฤทธิ์
และพระสารีบุตรที่เป็นเลิศทางปัญญา วันนี้เราได้มาเยือนสถานที่ที่ท่านเหล่านี้เคยพักอยู่
สถานที่เดียวกัน แต่ต่างกันที่เวลากว่าสองพันหกร้อยปี พละ ๕ ในข้อแรก คือ ศรัทธา
ได้เพิ่มพูนขึ้นในจิตในใจอีกครา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น