เมื่อออกจากวัดเวฬุวันแล้ว
คณะกองทัพธรรมได้ไปเยี่ยมชม ตโปทาราม บ่อน้ำพุร้อนนอกเมืองราชคฤห์ซึ่งเป็นสถานที่อาบน้ำ ที่นี่มีความโดดเด่นในการแสดงให้เห็นถึงการแบ่งชั้นวรรณะ โดยจะมีบ่ออาบน้ำจัดแยกกันตามวรรณะ จากสูงไปต่ำ
เรามาลองดูข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้กัน
“ตโปทาราม” เป็นสวนแห่งหนึ่ง อยู่ใกล้กับบึงใหญ่ที่ชื่อว่า ตโปทา และที่บึงนี้มีแม่น้ำตโปทา
ซึ่งก็คือแม่น้ำสุรัสวดีไหลผ่าน และน้ำในแม่น้ำนี้ร้อน เพราะว่าได้ไหลผ่านระหว่างโลหะกุมภีนิรยะทั้งสอง
ซึ่งเป็นที่เกิดของบ่อน้ำพุร้อนในทุกวันนี้
ในตโปทารามนี้มีวิหารอยู่หลังหนึ่งซึ่งพระศาสดาได้เสด็จไปประทับเป็นครั้งคราว และใกล้ๆ กับตโปทารามนี้ ยังมีเงื้อมภูเขาตโปทกันทระ ซึ่งเคยเป็นที่อยู่จำพรรษาของ พระทัพพมัลลบุตร
ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุก็นิยมมาอาบน้ำร้อนกันที่ตโปทารามนี้
จนพระผู้มีพระภาคเจ้าได้บัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุที่อาบน้ำที่นี่แล้วหนหนึ่ง ให้เว้นไปอีก ๑๕วัน จึงจะอาบน้ำที่นี่ได้อีก ถ้าไม่ถึง ๑๕ วัน ไปอาบเข้าต้องอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็นเท่านั้น การที่ต้องบัญญัติสิกขาบทนี้ก็เพราะว่า เมื่อพระภิกษุพากันไปอาบน้ำนี้แล้ว ชาวบ้านเกรงใจพระภิกษุจึงไม่กล้าไปอาบน้ำด้วย
ปัจจุบันได้สร้างเป็นที่สำหรับอาบน้ำมี ๓ ระดับ ชั้นบนสุดเป็นที่อาบน้ำของวรรณะสูงคือพราหมณ์ ซึ่งน้ำก็จะไหลต่อไปเป็นที่อาบน้ำของวรรณะแพศย์และศูทร และน้ำที่ถูกอาบมาทั้งสองวรรณะแล้ว ก็จะไหลมายังชั้นสุดท้าย เป็นที่อาบน้ำของจัณฑาล
ตอนที่คณะกองทัพธรรมเดินขึ้นไปชมสถานที่นี้
เป็นเวลาสายมากแล้ว แดดจัดและอากาศร้อนมาก สิ่งที่เห็นคือการแบ่งสถานที่อาบน้ำที่แยกวรรณะกันอย่างชัดเจน เขาจะอาบน้ำและซักผ้า ซึ่งน้ำที่ผ่านการใช้แล้วจะเปลี่ยนสภาพจากใสสะอาด เป็นขุ่นมากขึ้น เนื่องจากมีสิ่งสกปรกเพิ่มขึ้นจากการอาบและใช้จากวรรณะสูงไปต่ำ
ธรรมที่ได้จากการจาริก
ณ ตโปทาราม คงจะเป็นในแง่ของได้เห็นการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างชัดเจน
แต่ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะวรรณะสูงต่ำเพียงใด
ทุกคนก็คงหนีไม่พ้นความตาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น