หน้าเว็บ

8/23/2558

นักบวชสตรี ๒๑. เรื่องเล่าแทรก “ครูบาอาจารย์เนื้อตัวของท่านมีแต่บุญ”

       วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๗  เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของการจาริกแสวงบุญของกองทัพธรรม เนื่องจากในวันนี้เราจะเดินทางไปยังสังเวชนียสถานลำดับที่ ๔ ได้แก่  สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เช้าวันนี้ก็คงเหมือนกับวันที่ผ่านมา กล่าวคือ คณะกองทัพธรรมตื่นตั้งแต่เวลาตีสาม ออกเดินทางเวลาตีสี่  หลวงตานำสวดมนต์ทำวัตรเช้าบนรถเช่นเคย วันนี้มีข้อแตกต่างจากทุกวัน คือ เริ่มมีผู้ป่วยเป็นไข้บ้าง ท้องเสียบ้าง ท้องผูกบ้าง เนื่องจากพักผ่อนน้อย การเดินทางกระทบร้อนกระทบเย็นจากการจาริกกลางแดด อากาศร้อน สลับกับการนั่งบนรถบัสปรับอากาศเป็นเวลานานๆ
ผู้เขียนเองแม้จะระมัดระวังแล้วก็ยังมีอาการป่วยท้องเสียเล็กน้อย เป็นไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว หลังจากที่ได้พยายามรักษาตัวด้วยการเดินอานาปานสติรักษาธาตุขันธ์แล้วก็ตาม  เมื่อระลึกถึงคำของครูบาอาจารย์ที่สอนว่า ถ้าป่วยไม่หายก็ต้องหาหมอ  เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะป่วยได้  ขอให้จิตใจไม่ป่วยเป็นพอ ในที่สุดก็ต้องเพิ่งยาจากแม่ใหม่ท่านหนึ่งที่เป็นพยาบาลเหล่าตำรวจ เพื่อนแม่ใหม่ท่านนี้ เป็นผู้มีรูปกายภายนอกหน้าตางดงามผิวพรรณผ่องใส  ไม่ต่างกับจิตใจที่โอบอ้อมอารีมีเมตตากับพี่น้องกองทัพธรรมโดยไม่เลือกเขาเลือกเรา แม่ใหม่ท่านนี้ได้เตรียมยารักษาโรคจำนวนมากติดตัวมาเผื่อภิกษุสงฆ์ แม่พรหมจาริณี และเพื่อนในคณะที่ป่วย แม่ใหม่ท่านนี้ได้สอบถามอาการ จ่ายยา และให้คำแนะนำการดูแลตัวเองเป็นอย่างดีกับทุกท่านที่มาขอความช่วยเหลือ  อนุโมทนาสาธุ...ขอกราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้
เช้าวันนี้ผู้เขียนพยายามฝืนลืมตาทำวัตรเช้า แต่จะด้วยความเพลียหรือฤทธิ์ยาก็ตาม ทำให้ไม่อาจฝืนกายให้พ้นจากสภาพหลับได้ ที่เห็นชัดเจนคือ ใจมันสู้ที่จะสวด แต่ร่างกายไม่ยอมร่วมมือด้วย ที่สุดแล้วก็จึงได้แต่หลับตาประคองสติฟังการสวดมนต์ของพี่น้องในรถ เมื่อเล่าถึงการสวดมนต์นี้ ผู้เขียนจะระลึกถึงเสียงอันมีเมตตาของหลวงตา ที่คอยนำสวดมนต์ คอยเล่าเรื่องราวสถานที่ต่างๆที่เราจะไปจาริก เล่าไป แม่ๆก็นั่งฟังกันเงียบๆ ลืมตาฟังบ้าง หลับตาฟังบ้าง หลับจริงบ้าง พอท่านเห็นพวกเราเงียบๆไป ท่านก็จะถามขึ้นว่า
“อ้าว... หลับกันหมดแล้วหรือ ตื่นรึยัง ปล่อยให้หลวงตาพูดอยู่คนเดียว ฟังกันอยู่บ้างหรือเปล่า”
แม่ๆก็จะรีบกระวีกระวาดตอบเสียงดังๆว่า
“ฟังอยู่เจ้าค่ะหลวงตา หลวงตาเล่าต่อนะเจ้าคะ” 
ด้วยกลัวว่าหลวงตาจะไม่เล่าเรื่องราวในพุทธประวัติให้เราฟัง เรื่องของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์นี้ หลวงตาบอกว่า เนื้อตัวของท่านมีแต่บุญ จิตใจของท่านมีเมตตา มีแต่กุศล ไม่เลือกเขาเลือกเรา พระพุทธองค์ที่ท่านมีเมตตาไม่มีประมาณในการโปรดหมู่สัตว์ ในเวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต เวลาเย็นทรงแสดงพระธรรมเทศนา เวลาย่ำค่ำทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุเที่ยงคืนทรงพยากรณ์ปัญหาแก่เทวดา เวลาใกล้รุ่งทรงตรวจดูหมู่สัตว์ผู้ที่พระองค์จะโปรดได้
        ผู้เขียนระลึกตามที่หลวงตากล่าว ก็เห็นจริงตามนั้น  ทั้งหลวงตา หลวงพ่อ คุณแม่ รวมถึงครูบาอาจารย์ฆราวาสของผู้เขียน ทุกท่านล้วนมีเมตตาแก่ลูกศิษย์ บุคคลทั่วไป และสรรพสัตว์โดยไม่แบ่งชนชั้น  จิตใจของท่านมีแต่เมตตา และบุญกุศล เราได้อยู่ใกล้จะรู้สึกร่มเย็นมั่นคง เหมือนท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์สั่งสอนเรา เป็นเนื้อนาบุญให้เราได้ทำบุญ สร้างบุญบารมี  เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจในการสร้างความเพียรชอบ ท่านเหล่านี้จะเป็นธรรมชาติมากๆ การแสดงออกของท่านไม่จำเป็นต้องพูดจาไพเราะ ไม่เอาอกเอาใจ  หากแต่พูดกันตรงๆ บางทีเราก็ถูกดุ  หากทำไม่ถูกไม่ควรเพื่อเป็นการกะเทาะ  ท่านจะพูดบอกเราตรงๆ ไม่มีการปรุงแต่ง หรือกลัวว่าเราจะไม่พอใจ  หากลูกศิษย์อย่างเราน้อมรับและนำมาทบทวนปรับปรุงแก้ไขตนเอง  ก็จะเป็นการทำให้การปฏิบัติก้าวหน้าไปโดยลำดับ
        ครูบาอาจารย์ของผู้เขียนมักจะบอกกับลูกศิษย์เสมอว่า ให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ภายนอกอ่อนโยน แต่ขณะเดียวกันเราต้องมีความตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวภายใน ไม่โลเล มีสัจจะ มีความอดทน  มีความกตัญญูกตเวที ฯลฯ เหล่านี้ โดยเฉพาะความอ่อนน้อมถ่อมตนเชื่อฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์นี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเตือนกันไม่ได้ เวลาที่หลงไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ก็จะไม่มีใครคอยรั้งให้กลับมาเดินถูกทางนับเป็นเรื่องน่าเสียดายมากหากหลงไป นัยว่าถึงกับเสียชาติเกิดกันเลยทีเดียว เพราะภพชาติที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนานี้มันไม่ใช่ง่าย และแสนสั้นนักเมื่อเทียบกับภพชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิดมามากมาย   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น