วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๗
เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของการจาริกแสวงบุญของกองทัพธรรม
เนื่องจากในวันนี้เราจะเดินทางไปยังสังเวชนียสถานลำดับที่ ๔ ได้แก่ สถานที่พระตถาคตเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
เช้าวันนี้ก็คงเหมือนกับวันที่ผ่านมา กล่าวคือ คณะกองทัพธรรมตื่นตั้งแต่เวลาตีสาม
ออกเดินทางเวลาตีสี่
หลวงตานำสวดมนต์ทำวัตรเช้าบนรถเช่นเคย วันนี้มีข้อแตกต่างจากทุกวัน คือ
เริ่มมีผู้ป่วยเป็นไข้บ้าง ท้องเสียบ้าง ท้องผูกบ้าง เนื่องจากพักผ่อนน้อย
การเดินทางกระทบร้อนกระทบเย็นจากการจาริกกลางแดด อากาศร้อน
สลับกับการนั่งบนรถบัสปรับอากาศเป็นเวลานานๆ
ผู้เขียนเองแม้จะระมัดระวังแล้วก็ยังมีอาการป่วยท้องเสียเล็กน้อย
เป็นไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว หลังจากที่ได้พยายามรักษาตัวด้วยการเดินอานาปานสติรักษาธาตุขันธ์แล้วก็ตาม เมื่อระลึกถึงคำของครูบาอาจารย์ที่สอนว่า ถ้าป่วยไม่หายก็ต้องหาหมอ เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะป่วยได้ ขอให้จิตใจไม่ป่วยเป็นพอ ในที่สุดก็ต้องเพิ่งยาจากแม่ใหม่ท่านหนึ่งที่เป็นพยาบาลเหล่าตำรวจ เพื่อนแม่ใหม่ท่านนี้
เป็นผู้มีรูปกายภายนอกหน้าตางดงามผิวพรรณผ่องใส
ไม่ต่างกับจิตใจที่โอบอ้อมอารีมีเมตตากับพี่น้องกองทัพธรรมโดยไม่เลือกเขาเลือกเรา
แม่ใหม่ท่านนี้ได้เตรียมยารักษาโรคจำนวนมากติดตัวมาเผื่อภิกษุสงฆ์ แม่พรหมจาริณี
และเพื่อนในคณะที่ป่วย แม่ใหม่ท่านนี้ได้สอบถามอาการ จ่ายยา และให้คำแนะนำการดูแลตัวเองเป็นอย่างดีกับทุกท่านที่มาขอความช่วยเหลือ อนุโมทนาสาธุ...ขอกราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้
เช้าวันนี้ผู้เขียนพยายามฝืนลืมตาทำวัตรเช้า
แต่จะด้วยความเพลียหรือฤทธิ์ยาก็ตาม ทำให้ไม่อาจฝืนกายให้พ้นจากสภาพหลับได้
ที่เห็นชัดเจนคือ ใจมันสู้ที่จะสวด แต่ร่างกายไม่ยอมร่วมมือด้วย
ที่สุดแล้วก็จึงได้แต่หลับตาประคองสติฟังการสวดมนต์ของพี่น้องในรถ
เมื่อเล่าถึงการสวดมนต์นี้ ผู้เขียนจะระลึกถึงเสียงอันมีเมตตาของหลวงตา
ที่คอยนำสวดมนต์ คอยเล่าเรื่องราวสถานที่ต่างๆที่เราจะไปจาริก เล่าไป แม่ๆก็นั่งฟังกันเงียบๆ
ลืมตาฟังบ้าง หลับตาฟังบ้าง หลับจริงบ้าง
พอท่านเห็นพวกเราเงียบๆไป ท่านก็จะถามขึ้นว่า
“อ้าว... หลับกันหมดแล้วหรือ ตื่นรึยัง
ปล่อยให้หลวงตาพูดอยู่คนเดียว ฟังกันอยู่บ้างหรือเปล่า”
แม่ๆก็จะรีบกระวีกระวาดตอบเสียงดังๆว่า
“ฟังอยู่เจ้าค่ะหลวงตา
หลวงตาเล่าต่อนะเจ้าคะ”
ด้วยกลัวว่าหลวงตาจะไม่เล่าเรื่องราวในพุทธประวัติให้เราฟัง เรื่องของพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์นี้
หลวงตาบอกว่า เนื้อตัวของท่านมีแต่บุญ จิตใจของท่านมีเมตตา มีแต่กุศล
ไม่เลือกเขาเลือกเรา พระพุทธองค์ที่ท่านมีเมตตาไม่มีประมาณในการโปรดหมู่สัตว์
ในเวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต เวลาเย็นทรงแสดงพระธรรมเทศนา
เวลาย่ำค่ำทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุเที่ยงคืนทรงพยากรณ์ปัญหาแก่เทวดา เวลาใกล้รุ่งทรงตรวจดูหมู่สัตว์ผู้ที่พระองค์จะโปรดได้
ผู้เขียนระลึกตามที่หลวงตากล่าว ก็เห็นจริงตามนั้น ทั้งหลวงตา หลวงพ่อ คุณแม่
รวมถึงครูบาอาจารย์ฆราวาสของผู้เขียน ทุกท่านล้วนมีเมตตาแก่ลูกศิษย์ บุคคลทั่วไป
และสรรพสัตว์โดยไม่แบ่งชนชั้น
จิตใจของท่านมีแต่เมตตา และบุญกุศล เราได้อยู่ใกล้จะรู้สึกร่มเย็นมั่นคง
เหมือนท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์สั่งสอนเรา
เป็นเนื้อนาบุญให้เราได้ทำบุญ สร้างบุญบารมี
เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจในการสร้างความเพียรชอบ
ท่านเหล่านี้จะเป็นธรรมชาติมากๆ การแสดงออกของท่านไม่จำเป็นต้องพูดจาไพเราะ
ไม่เอาอกเอาใจ หากแต่พูดกันตรงๆ
บางทีเราก็ถูกดุ
หากทำไม่ถูกไม่ควรเพื่อเป็นการกะเทาะ
ท่านจะพูดบอกเราตรงๆ ไม่มีการปรุงแต่ง หรือกลัวว่าเราจะไม่พอใจ หากลูกศิษย์อย่างเราน้อมรับและนำมาทบทวนปรับปรุงแก้ไขตนเอง ก็จะเป็นการทำให้การปฏิบัติก้าวหน้าไปโดยลำดับ
ครูบาอาจารย์ของผู้เขียนมักจะบอกกับลูกศิษย์เสมอว่า ให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
ภายนอกอ่อนโยน แต่ขณะเดียวกันเราต้องมีความตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวภายใน ไม่โลเล
มีสัจจะ มีความอดทน มีความกตัญญูกตเวที
ฯลฯ เหล่านี้
โดยเฉพาะความอ่อนน้อมถ่อมตนเชื่อฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์นี้เป็นสิ่งสำคัญ
เพราะหากเตือนกันไม่ได้ เวลาที่หลงไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร
ก็จะไม่มีใครคอยรั้งให้กลับมาเดินถูกทางนับเป็นเรื่องน่าเสียดายมากหากหลงไป
นัยว่าถึงกับเสียชาติเกิดกันเลยทีเดียว
เพราะภพชาติที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนานี้มันไม่ใช่ง่าย
และแสนสั้นนักเมื่อเทียบกับภพชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิดมามากมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น