กองทัพธรรมเดินทางจาริกไปถึงบ้านท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีในเวลาประมาณห้าโมงเย็น บ้านท่านเศรษฐีนี้ เป็นอิฐแดงก่อขนาดใหญ่
ตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านพ่อท่านองคุลีมาล กองทัพธรรมได้เดินชมบ้านท่าน
พร้อมทั้งระลึกถึงพระคุณของท่าน
ผู้เขียนและเพื่อนแม่ใหม่พากันถอดรองเท้าค่อยๆเดินขึ้นไปชมบ้านของท่าน
บ้านนี้เป็นบ้านอุบาสกที่มีอุปการะคุณอย่างสูงต่อพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย
ในฝ่าย ผู้เป็นทายกดังนั้นการมาเยี่ยมบ้านของท่านจึงต้องมีความสำรวมระวังและแสดงความเคารพต่อสถานที่
ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีมีชื่อเดิมว่า
"สุทัตตะ" เป็นชาวเมืองสาวัตถี แต่ความที่เป็นผู้ใจบุญ
ชอบตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารคนยากคนจน อนาถาไร้ญาติขาดที่พึ่ง
ชาวบ้านทั่วไปจึงขนานนามท่านว่า "อนาถปิณฑิกเศรษฐี"แปลว่า "เศรษฐีผู้มีก้อนข้าวสำหรับคนไม่มีที่พึ่งพิง"
คราวหนึ่งท่านสุทัตตะได้เดินทางไปธุรกิจที่เมืองราชคฤห์
พักอยู่ที่บ้านของท่านราชคหกะเศรษฐี ผู้เป็นพี่ภรรยาของตน แต่ท่านค่อนข้างประหลาดใจที่ท่านราชคหกะไม่ค่อยมีเวลาสนทนากับตนเลย
มัวแต่สาระวนกับการจัดเตรียมเรื่องอาหารการขบฉันไว้ถวายพระพุทธเจ้าและหมู่พระภิกษุสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น
จนเวลาเย็นค่ำแล้วจึงได้โอกาสสนทนาปราศรัยกัน ท่านสุทัตตะจึงได้ยินคำว่า"พุทโธ"
ถึงกับทำให้เขาถามกลับไปถึงสามครั้ง แล้วก็ได้ยินคำยืนยันว่า"พุทโธ"
ถึงสามครั้ง ตอนนั้นจิตของท่านอนาถปิณฑิกะ
กระวนกระวายใคร่จะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเสียแต่เย็นวันนั้นเลย แต่ก็ต้องรอให้ถึงเช้าก่อน
จึงได้เข้าเฝ้าฟังธรรมกับพระพุทธองค์จนบรรลุโสดาปัตติผล หลังเสร็จ ภัตกิจเช้าวันนั้น
จากนั้นท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีได้กราบทูลเชิญพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์เสด็จไปโปรดชาวเมืองสาวัตถี
พระพุทธองค์ทรงรับนิมนต์
ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี
รู้สึกปลาบปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบเดินทางกลับสู่กรุงสาวัตถีโดยด่วน
ในระหว่างทางจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงสาวัตถี ระยะทาง ๕๔ โยชน์
ได้บริจาคทรัพย์จำนวนมากให้สร้างวิหารที่ประทับเป็นที่พักทุกๆ ระยะหนึ่งโยชน์
เมื่อถึงกรุงสาวัตถีแล้วได้ติดต่อขอซื้อที่ดินจากเจ้าชายเชตราชกุมาร
โดยได้ตกลงราคาด้วยการนำเงินปูลาดให้เต็มพื้นที่
ตามที่ต้องการ
ปรากฏว่าเศรษฐีใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ เป็นค่าที่ดิน และอีก ๒๗ โกฏิ เป็นค่าก่อสร้างพระคันธกุฏีที่ประทับของพระบรมศาสดาและเสนาสนะสงฆ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๔ โกฏิ
แต่ยังขาดพื้นที่สร้างซุ้มประตูพระอาราม ขณะนั้นเจ้าชายเชตราชกุมารได้แสดงความประสงค์ขอเป็นผู้จัดสร้างถวาย
โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ที่ซุ้มประตูพระอารามดังนั้นพระอารามนี้จึงได้ชื่อว่า
“เชตวนาราม”
เมื่อก่อสร้างพระอารามเสร็จแล้วได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าประทับจัดพิธีฉลองพระอารามอย่างมโหฬารนานถึง
๙ เดือน (บางแห่งว่า ๕ เดือน)
ได้จัดถวายอาหารบิณฑบาตอันปราณีตแก่พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์เมื่อพิธีฉลองพระอารามเสร็จสิ้นลงแล้วได้กราบอาราธนาพระภิกษุจำนวนประมาณ
๒๐๐ รูปไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนทุกวันตลอดกาล
ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี
ทำบุญโดยทำนองนี้ ทั้งให้ทานแก่คนยากจน และการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์
จนกระทั่งทรัพย์สินเงินทองที่เก็บสะสมไว้ลดน้อยลงไปโดยลำดับทรัพย์ที่หาได้มาใหม่ก็ไม่เท่ากับจ่ายออกไป
ภัตตาหารที่จัดถวายพระภิกษุสงฆ์ก็ลดลงทั้งคุณภาพและปริมาณ
จนที่สุดข้าวที่หุงถวายพระก็จำเป็นต้องใช้ข้าวปลายเกวียน กับข้าวก็เหลือเพียงน้ำผักเสี้ยนดอง
ตนเองก็พลอยอดอยากลำบากไปด้วย
ถึงกระนั้นเศรษฐีก็ยังไม่ลดละการทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ได้แต่กราบเรียนให้พระภิกษุสงฆ์ทราบว่า
ตนเองไม่สามารถจะจัดถวายอาหารอันประณีตมีรสเลิศเหมือนเมื่อก่อนได้
เพราะขาดปัจจัยที่จะจัดหา พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นปุถุชนก็พากันไปรับอาหารบิณฑบาตที่ตระกูลอื่นที่ถวายอาหารมีรสเลิศกว่า
เทวดาตนหนึ่งผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิ
ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูเข้าออกทุกวัน เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูนั้น ตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้เมื่อเห็นเศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทำบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
จึงปรากฎกายต่อหน้าท่านเศรษฐีและบอกให้ท่านเศรษฐีเลิกทำบุญเพื่อที่จะมีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม
ท่านเศรษฐีจึงไล่เทวดาให้ออกไปจากซุ้มประตูเรือน เทวดาจึงไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป
กลายเป็นเทวดาไร้ที่สิงสถิตย์ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้ช่วยเหลือแต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่วยได้
เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า
“ทรัพย์เก่าของเศรษฐีจำนวน ๘๐ โกฏิ
ซึ่งใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำถูกน้ำเซาะตลิ่งพังจมหายไปในสายน้ำท่านจงไปนำทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี
แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้และอนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้”
เทวดาทำตามนั้น
ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอำนาจฤทธิ์เทวดา
เมื่อเศรษฐียกโทษให้แล้วได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป
เรื่องราวของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี
ยังมีอีกมาก ท่านเป็นต้นแบบการทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย
บุตรสาวคนโตของท่านที่ได้ช่วยงานในการดูแลถวายอาหารพระภิกษุสงฆ์ คือ “มหาสุภัททา” และ บุตรสาวคนรอง “จุลสุภัททา”ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน และบุตรสาวคนเล็ก “สุมนาเทวี” ได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี โดยก่อนที่สุมนาเทวีจะตายได้เรียกบิดาเป็นน้องชาย ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธองค์ตรัสว่า
"ดูก่อนมหาเศรษฐี
บุตรของท่านมิได้เพ้อหลงสติอย่างที่ท่านเข้าใจ แต่ที่นางเรียกท่านว่าน้องชายนั้น
ก็เพราะท่านเป็นน้องของนางจริงๆ นางเป็นใหญ่กว่าท่านโดยมรรคและผล
เพราะท่านเป็นเพียงพระโสดาบัน แต่ธิดาของท่านเป็นพระสกทาคามี
เป็นอริยบุคคลสูงกว่าท่าน และบัดนี้ นางได้ไปเกิดเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว
นี่แหละคฤหบดีธรรมดาบุคคลไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม
ถ้าอยู่ด้วยความไม่ประมาท ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
ก็ย่อมเสวยสุขเพลินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”
เมื่ออ่านเรื่องราวถึงตรงนี้
นับเป็นการยืนยันได้ว่า อาวุโสทางโลกกับทางธรรมต่างกัน
ทางธรรมเรานับกันที่ภูมิจิตภูมิธรรม ไม่ได้นับกันที่ยศถาบรรดาศักดิ์
ข้าวของเงินทอง หรืออายุ ดังนั้นจึงสมควรที่เราจะมีความอ่อนน้อมถ่อมตนสำรวมระวังเป็นนิจ
เพราะคนเราดูกันแต่ภายนอกไม่ได้ หากไปเผลอล่วงเกินผู้ที่มีศีลสูงกว่า
ภูมิธรรมสูงกว่านับว่าอันตรายมากที่เดียว บ่อยครั้งที่ผู้ไม่มีศีลล่วงเกินผู้มีศีล
นับว่าเป็นการสร้างวิบากกรรมให้กับตนเอง ตัวผู้เขียนเองจะระมัดระวังในการใช้ไหว้วานผู้อื่น
ให้มีการใช้ตามหน้าที่ของเขา ไม่ใช้เกินกว่าหน้าที่
หรือใช้ด้วยกิเลสที่อยากสบายของตน ด้วยว่าทุกความคิดการกระทำและคำพูดล้วนก่อให้เกิดกรรมได้ทั้งสิ้น
สิ่งที่ผู้เขียนประทับใจในการจาริกยังบ้านท่านเศรษฐีนี้
ได้แก่ ท่านเป็นอุบาสกที่มีศรัทธาที่มีจิตเป็นกุศลท่านมีความตั้งใจทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง
จะเห็นได้จากการที่ท่านถวายทานจนเกือบหมดเนื้อหมดตัว แบบอย่างของท่านคือ
การเป็นผู้ไม่ตระหนี่ในการให้ทาน สำหรับผู้เขียนแล้ว
การให้ทานแต่ละครั้งถ้าเราตระหนี่ในจิตในใจของเราจะมีเครื่องกั้น แต่ถ้าเราให้ด้วยความเต็มใจ เมตตาอยากสงเคราะห์เขา อยากทำบุญ
ทำนุบำรุงพระศาสนา ใจของเราจะผ่องใส จิตที่เป็นกุศลมันจะนุ่มนวลละเอียดเบิกบานซึ่งเหมาะ แก่การภาวนา
ดังหลวงพ่อสอนว่า
"จิตที่เป็นกุศลนี้เป็นจิตที่ควรแก่การงาน
โยมต้องใช้กุศลเป็นเครื่องมือในการภาวนาก่อน ถ้าจิตไม่เป็นกุศล เช่นยังโกรธ
ยังพยาบาท ยังอาฆาต ไม่รู้จักให้อภัย
ไม่รู้จักปล่อยวางการภาวนาก็จะเข้าสู่ใจผู้รู้ไม่ได้"
ผู้เขียนสังเกตดูอาการของจิตของใจตัวเองก็เห็นตามนั้น
ถ้าจิตเรา เป็นกุศลแล้ว มันจะนุ่มนวลละเอียด สบายใจ การภาวนาด้วยอานาปานสติ ลมจะละเอียดจนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งอาการทางกายและจิตได้
แต่ถ้าวันไหน จิตเราไม่เป็นกุศล เช่น โกรธ พยาบาท อาการทางกายจะอึดอัด ลมหายใจ จะหยาบไม่สม่ำเสมอ
การภาวนาจะเข้าสู่ภายในไม่ได้ ดังนั้นคงจะจริงที่หลวงพ่อบอกว่า
"บางคนนะโยม
เขามาภาวนาได้แป๊บเดียวก็ก้าวหน้า เพราะจิตใจของเขาดีงามอยู่แล้ว ใจของเขาเป็นพรหม
มีพรหมวิหาร ๔ มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่คิดร้ายกับใคร"
นอกจากนี้
การรักษาศีล ๕ ซึ่งเป็นศีลพื้นฐานของมนุษย์
สำหรับผู้เขียนศีลนี้เป็นปกติที่ใจของเรารักษาอยู่แต่เดิม ใจของเรามีศีลอยู่แล้ว
ศีล ๕ นี้คือ
การไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น การมีศีล ๕ จึงเป็นสิ่งกั้นความชั่วร้าย
เสมือนมีเกราะพระรัตนตรัยคุ้มครองเรา การไปไหนมาไหนทำอะไรจึงมีแต่การคิดดี พูดดี
ทำดี ไม่เบียดเบียนใคร รู้กาล รู้สิ่งใดควรไม่ควร
การที่เราตั้งใจสมาทานรักษาศีล
๕ คือการตั้งใจรักษาจึงมีอานิสงส์มาก
ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมถึงความลึกซึ้งของศีลว่า เมื่อเราจะตั้งใจไม่ผิดศีล
นั่นเป็นการตั้งใจไม่ทำผิดศีลด้วยความคิดก่อน
แล้วปฏิบัติตนด้วยความระมัดระวังไม่ให้ล่วงศีล นั่นคือ เราต้องมีสติคุมกายใจ
ขอย้อนกับไปว่าถ้าเราจะรักษาศีล ๕ ได้ เราต้องเป็นคนมีเมตตา
ไม่คิดร้ายไม่คิดเบียดเบียนใคร เป็นจุดเริ่มต้นก่อน
นั่นคือเรามีจิตใจเป็นกุศล มีการทำบุญทำทานมาแล้ว จึงมีจิตใจดีงามที่จะมารักษาศีล
เมื่อมีศีลจึงมีสติคุมเพื่อไม่ให้ผิดศีล เมื่อมีสติจึงมีสมาธิ
และเมื่อมีสมาธิจึงมีปัญญาเห็นโลกตามความเป็นจริงตามมานั่นเอง
นอกจากนี้แล้ว
ศีลที่ตั้งใจรักษาด้วยความคิด มันต่างจากศีลที่รักษาด้วยใจ ใจที่มีศีล คือ
ใจที่มีเมตตา เมื่อมีเมตตาใจจะมีศีลโดยอัตโนมัติ
เพราะมันมีแต่ปรารถนาดีกับผู้อื่นและตนเอง ไม่เบียดเบียนไม่คิดร้าย ไม่ทำร้าย ไม่พยาบาท มีแต่การให้ มีแต่การให้อภัย
มันจึงวนกลับมาที่การภาวนาของเราที่จะละวางตัวตนได้ง่าย
ดังคำครูบาอาจารย์ที่สอนว่า
"เมตตาชนะทุกสิ่ง"
สำหรับผู้เขียนแล้ว จะชนะอะไรไม่สำคัญเท่าชนะใจตัวเอง ชนะกิเลสด้วยการไม่ยอมตามกิเลส และการมีเมตตานี้ทำให้เรารู้จักการช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักการเสียสละ และการให้อภัย อันเป็นทางนำไปสู่การละวางตัวตนนั่นเองการปฏิบัตินี้รู้เองเห็นเองด้วยตนเอง เพราะเป็นการเรียนรู้และเข้าใจในจิตในใจของเราจนค่อยๆเกิดสติปัญญาขึ้นมาที่ละเล็กละน้อย อริยทรัพย์นี้จึงเป็นทรัพย์ที่ต้องทำเอง ปฏิบัติเอง เห็นเอง ไม่สามารถโอนให้กันได้ เพราะเป็นการรู้ในระดับใจ หรือ ใจผู้รู้นั่นเอง
เมื่อเสร็จจากเยี่ยมบ้านท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี คณะกองทัพธรรมก็เดินข้ามถนนไปยังบ้านบ้านพราหมณ์ปุโรหิตบิดาของท่านองคุลีมาล ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกัน บ้านพ่อท่านองคุลีมาลมีขนาดใหญ่โตไม่แพ้บ้านท่านเศรษฐี เรื่องของท่านองคุลีมาลนี้เป็นเรื่องที่ผู้เขียนจะเว้นไม่เล่าด้วยว่าทุกท่านคงทราบมาแล้วพอสมควร แต่จะขอกล่าวถึงสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสในวันที่องคุลีมาลวิ่งตามพระพุทธองค์ไม่ทันว่า
"เราหยุดแล้ว องคุลีมาล ท่านเล่าจงหยุดเถิด"
องคุลีมาลจึงตะโกนถามไปว่า
"ดูก่อนสมณะ ท่านกำลังเดินไป ยังกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และท่านยังไม่หยุด ท่านหยุดแล้วเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ายังไม่หยุดแล้วเป็นอย่างไร"
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
"ดูก่อนองคุลีมาล เราวางอาชญาในสรรพสัตว์ได้แล้ว จึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนท่านไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่ายังไม่หยุด ถึงแม้ว่าเธอหยุดแล้วด้วยอิริยาบทยืนในบัดนี้ก็ดี เธอก็จะต้องวิ่งไปในนรกดิรัจฉาน เปรต อสุรกายในภายหน้า"
เป็นประโยคที่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก องคุลีมาลเมื่อได้ฟังจึงทูลขอบรรพชากับพระองค์และภายหลังได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เรื่องราวของท่านองคุลีมาลเป็นตัวอย่างอันดีในเรื่องของการคบคนพาลทำให้หลงผิดไป แต่ยังมีบุญวาสนาที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาโปรดและได้บรรลุธรรมในที่สุด