เช้าวันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๗ เป็นเช้าอีกวันหนึ่งที่
คณะกองทัพธรรมตื่นตั้งแต่ตีสาม และออกเดินทางเวลา ๐๔.๐๐ น. เพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง
“เวสาลี” หรือ “ไวสาลี”
(ไพสาลี) เมืองหลวงของแคว้นวัชชี สถานที่แห่งแรกที่เราจะไปจาริกในวันนี้ ได้แก่
กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน สถานที่นี้พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับในพรรษาที่ ๕
และอีกหลายครั้ง
และเป็นสถานที่เกิดของภิกษุณีรูปแรก ชุดแรก และพระสูตรสำคัญหลายพระสูตร หลวงตาได้เมตตาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความยากเย็นของการกำเนิดภิกษุณีในพระพุทธศาสนาไว้อย่างน่าสนใจ
และผู้เขียนได้สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้
"ภิกษุณี" คือ หญิงที่ได้อุปสมบทแล้วหรือพระผู้หญิงในพระพุทธศาสนา
เกิดขึ้นในพรรษาที่ ๕ แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจโดยมีพระนางมหาปชาบดีโคตมีพระมาตุจฉา(พระน้านาง)พระมารดาเลี้ยงของพระพุทธองค์เป็นพระภิกษุณีรูปแรก โดยหลังจากพระเจ้าสุทโธทนะปรินิพพานแล้ว วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นิโครธาราม ในเมืองกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมี เสด็จเข้าไปเฝ้า
และทูลขออนุญาตให้สตรีสละเรือนออกบวชในพระธรรมวินัย
แต่การณ์นั้นมิใช่ง่าย พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสีย
ถึง ๓ ครั้ง
ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองเวสาลี ประทับที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ละความพยายาม ถึงกับปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์เองออกเดินทางพร้อมด้วยเจ้าหญิงศากยะจำนวน ๕๐๐ นาง ไปยังเมืองเวสาลีและได้มายืนกรรแสงอยู่ที่ซุ้มประตูนอกกูฏาคารศาลา ด้วยพระบาทที่บวมและพระวรกายที่เปรอะเปื้อนธุลี ขณะนั้นพระอานนท์ออกมาพบไต่ถาม
ทราบความแล้วก็รับเป็นภาระนำความกราบทูลขอประทานอุปสมบทให้พระนางมหาปชาบดี
ในครั้งแรกพระบรมศาสดาไม่ทรงอนุญาต ตรัสว่า “สตรีไม่ควรอุปสมบท”
ภายหลังพระอานนท์ทูลถามว่า “หากสตรีบวชแล้ว จะสามารถปฏิบัติธรรมได้บรรลุอริยมรรคอริยผล
โดยควรแก่อุปนิสสัยหรือไม่”
เมื่อพระศาสดาตรัสว่า “สามารถ”
พระอานนท์ก็กราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้น
ขอได้ทรงพระกรุณาประทานโอกาสให้พระเจ้าน้า ได้ทรงอุปสมบทเถิด”
ทรงรับสั่งว่า “อานนท์ ผิวะพระนางมหาปชาบดีโคตมีจะทรงรับปฏิบัติครุธรรม ๘ ได้บริบูรณ์
ตถาคตก็อนุญาตให้ได้”
“อานนท์ ครุธรรม ๘ ประการนั้น ดังนี้
๑.ภิกษุณีแม้จะบวชได้ ๑๐๐ พรรษา ก็พึงให้ทำอัสญชลีเคารพนบนอบภิกษุ
แม้บวชในวันเดียวนั้น
๒.ภิกษุณีอย่าอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
๓.ภิกษุณี จะต้องทำอุโบสถกรรมและรับโอวาท
แต่สำนักสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
๔.ภิกษุณีจำพรรษาแล้ว ให้พึงปวารณาในสำนักอุภโตสงฆ์
๕.ภิกษุณี หากต้องอยู่ปริวาสกรรม พึงประพฤติปักขมานัต (คืออยู่มานัตถึงกึ่งเดือน)
ในสำนักอุภโตสงฆ์
๖.ภิกษุณี อุปสมบทในสำนักอุภโตสงฆ์ พึงสมาทานซึ่งวัตรปฏิบัติในธรรม ๖ ประการ คือ เว้นจากปาณาติบาต ถึงวิกาลโภชนะ เป็นต้น มิให้ล่วง
และศึกษาให้รู้วัตรปฏิบัติต่าง ๆ สิ้นกาลถึงพรรษาเต็ม
๗. ภิกษุณี อย่าพึงด่าบริภาษภิกษุสงฆ์ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง
๘. ภิกษุณี นับแต่วันบรรพชาเป็นต้นไป
พึงสดับรับโอวาทของภิกษุ กล่าวสั่งสอนฝ่ายเดียว ห้ามโอวาทสั่งสอนภิกษุ ฯ”
พระอานนท์เถระ เรียนจำครุธรรม ๘
ประการนั้น จากพระบรมศาสดาแล้ว ก็ออกมาแจ้งพระพุทธบัญชานั้นแก่พระนางมหาปชาบดีโคตรมี พระนางเจ้าทรงน้อมรับที่จะปฏิบัติด้วยความยินดีทุกประการ
พระอานนท์ก็เข้ามากราบทูลพระบรมศาสดาให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงโปรดประทานบรรพชาอุปสมบทแก่พระนางมหาปชาบดีโคตรมี ส่วนเจ้าหญิงศากยะที่ตามมาทั้งหมดพระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์อุปสมบทให้ในคราวนั้น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า การให้สตรีบวชเป็นเหตุให้พรหมจรรย์ คือ
พระศาสนาหรือสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้ยั่งยืนจะมีอายุสั้นเข้าเปรียบเหมือนตระกูลที่มีบุรุษน้อยมีสตรีมากถูกผู้ร้ายทำลายได้ง่ายหรือเหมือนนาข้าวที่มีหนอนขยอกลง หรือเหมือนไร่อ้อยที่มีเพลี้ยลงย่อมอยู่ได้ไม่ยืนนานพระองค์ทรงบัญญัติ ครุธรรม ๘ ประการกำกับไว้ก็เพื่อเป็นหลักคุ้มกันพระศาสนาเหมือนสร้างคันกั้นสระใหญ่ ไว้ก่อน
เพื่อกันไม่ให้น้ำไหลล้นออกไป(พระศาสนาจักอยู่ได้ยั่งยืนเช่นเดิม)
และได้ทรงแสดงเหตุผลที่ไม่ให้ภิกษุไหว้ภิกษุณีให้ภิกษุณีไหว้ภิกษุได้ฝ่ายเดียว
เพราะนักบวชในลัทธิศาสนาอื่นทั้งหลาย ไม่มีใครไหว้สตรีกันเลย
กล่าวโดยสรุปว่า
หากถือเหตุผลทางด้านสภาพสังคมศาสนาแล้ว จะไม่ทรงอนุญาตให้สตรีบวช แต่ด้วยเหตุผลในด้านความสามารถโดยธรรมชาติ
จึงทรงอนุญาตให้สตรีบวชได้เมื่อภิกษุณีสงฆ์ เกิดขึ้นแล้ว สตรีที่ จะบวชต่อมาต้องเป็น สิกขมานา รักษาศีล ๖ (คือ ๖ ข้อแรกในศีล ๑๐) ไม่ให้ขาดเลยตลอด ๒ ปีก่อน จึงขออุปสมบทได้
และต้องรับการอุปสมบทโดยสงฆ์สองฝ่าย คือ บวชโดยภิกษุณีสงฆ์แล้ว
ต้องบวชโดยภิกษุสงฆ์
ภิกษุณีสงฆ์เจริญรุ่งเรืองในลังกาทวีปยาวนานไม่น้อยกว่า
๑,๐๐๐ ปี แต่ในที่สุดได้สูญสิ้นไปด้วยเหตุใดไม่ปรากฏชัด ส่วนในประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้เคยมีการประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์
หลวงตาเล่าต่อไปว่า
แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงอนุญาตให้มีภิกษุณีแล้วก็ตาม แต่ได้ทรงกำหนดระเบียบข้อบังคับที่มากกว่าพระสงฆ์ ได้แก่ การรักษาศีล ๓๑๑ ข้อและการให้ภิกษุณีบวชต้องบวชเป็นสามเณรีก่อน ๒ ปี จึงจะบวชเป็นภิกษุณีได้และการบวชต้องบวชโดยสงฆ์ทั้งสองฝ่าย คือให้ภิกษุณีและพระสงฆ์บวชให้
ด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยากนี่เองเป็นเหตุให้ขาดช่วงการมีภิกษุณีจนกระทั่งในปัจจุบันไม่มีภิกษุณีแล้ว
หลวงตาได้เล่าเชิงเปรียบเทียบว่า
สตรีอินเดียในสมัยนั้นต้องอยู่ในความดูแลของบุรุษ และมีฐานะไม่ทัดเทียมบุรุษ
ซึ่งปัจจุบันนี้ในอินเดียก็ยังมีปัญหานี้อยู่
แต่อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันสตรีเริ่มมีบทบาทและสิทธิทางสังคมที่ทัดเทียมบุรุษและสามารถดูแลตนเองได้แล้ว
จึงควรที่จะมีการพิจารณาฐานะการบวชของสตรี
ซึ่งยังไม่มีกฎหมายรองรับหรือยังไม่ได้รับการรับรองให้ได้รับการยอมรับต่อไป
ณ ป่ามหาวันแห่งนี้ กองทัพธรรมได้ปฏิบัติบูชาด้วยการสวดมนต์ นั่งภาวนา จากนั้นแม่ๆใหม่บางท่านรวมทั้งผู้เขียนได้เดินเวียนรอบกูฏาคารศาลาเพื่อแสดงความระลึกถึงพระนางปชาบดีโคตรมีและคณะภิกษุณีรุ่นแรก ที่กว่าจะได้บวชเป็นภิกษุณีได้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นพยายามอย่างยิ่ง ต้องขออนุญาตพระพุทธองค์ถึงหลายครั้ง ถึงกับปลงผมนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์เดินข้ามเมืองมาขอบวชกับพระพุทธองค์ เมื่อได้บวชสมปรารถนาแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆมากมาย ต้องมีศรัทธา ความเพียรมีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระสงฆ์ ฯลฯ
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ในยุคปัจจุบัน แม้สตรีจะมีเสรีภาพมากขึ้นแล้วแต่ก็ยังออกบวชได้ยากกว่าบุรุษ เนื่องจากติดโน่นติดนี่ ติดครอบครัว งานการ ไม่กล้าสละเรือน และการโกนศีรษะนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับผู้หญิง ดังนั้นการบวชพรหมจาริณีแต่ละครั้ง แม้มีเจ้าภาพออกทุนให้ได้ไปจาริกยังสังเวชนียสถานพร้อมแล้ว
ยังหาตัวผู้ที่สมัครใจอย่างเด็ดเดี่ยวได้ยากกว่าจะได้ครบจำนวน
ธรรมที่ได้จากการจาริก ณ กูฏาคารศาลา แห่งนี้ ได้แก่ ความยากลำบากของการบวชของสตรีในครั้งพุทธกาล ยุคนั้นสตรีมีศรัทธาอยากบวชแต่บวชได้ยากบวชแล้วยังมีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากมากมาย ยุคปัจจุบันสตรีมีเสรีภาพมากขึ้นมีโอกาสบวชได้ แต่ติดภาระทางโลกและความสวยงาม
สำหรับผู้เขียนก่อนที่จะตัดสินใจบวช มีความลังเล ๒ ประการ คือ ๑.ภาระทางหน้าที่การงาน และ ๒.ความอายที่ต้องโกนศีรษะ ส่วนความกังวลทางครอบครัวนั้นไม่มีเนื่องจากลูกเรียนจบแล้วและสามีมีความเข้าใจไม่ขัดขวางในศรัทธาของผู้เขียน แต่ที่สุดแล้วความกังวลความลังเลสงสัยเหล่านี้มันก็พ่ายแพ้สงบราบคาบลงอย่างรวดเร็ว
เพราะไม่สามารถเอาชนะจิตใจที่มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาของเราได้
ธรรมที่ได้จากครุธรรม ๘
ประการ ได้แก่
ความอ่อนน้อมถ่อมตนของภิกษุณี ที่ต้องกราบไหว้พระสงฆ์แม้จะมีพรรษามากกว่า ความปลอดภัยของภิกษุณีในการที่ไม่อยู่ในวัดที่ไม่มีพระภิกษุ การไม่ด่าว่าพระสงฆ์ การรับฟังคำสั่งสอนของพระสงฆ์และไม่สอนพระสงฆ์ฯลฯ ครุธรรมเหล่านี้หากมองในเชิงต่อต้านอาจเห็นว่าเป็นความไม่เท่าเทียม
แต่หากมองเชิงผู้ปฏิบัติ
ผู้เขียนกลับเห็นว่าครุธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องมือของเราในการเข้าถึงธรรมของพระพุทธองค์ ให้เราละวางตัวตน ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีสติสัมปชัญญะมีความรู้จักกาลเทศะอันควรต่างๆ
การกราบพระสงฆ์ของผู้เขียนทุกครั้ง จึงกราบด้วยใจที่น้อมระลึกถึงพระรัตนตรัยซึ่งมีพระสงฆ์สาวกอันเป็นบุตรของของพระพุทธองค์ เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ไม่ได้คิดว่า นี่พระสงฆ์ลูกศิษย์นักเรียนนายเรือ
นี่เป็นพระสงฆ์ลูกน้องของเรา นี่พระสงฆ์อายุน้อยกว่าเรา
กล่าวคือเรากราบท่านด้วยความนอบน้อมในพระรัตนตรัย ในศีลในธรรมของท่านนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น