กราบหลวงพ่อองค์ดำเสร็จ เรานั่งรถม้าออกมาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา
ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆกันกับสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อองค์ดำ
มหาวิทยาลัยนาลันทานี้มีพื้นที่กว้าง-ยาวด้านละ ๑๐ ไมล์ โดยคาดว่าน่าจะรวมเอาหมู่บ้าน “นาทกคาม”ที่เป็นหมู่บ้านเดิมของพระสารีบุตรและ“โกลิตคาม”ที่เป็นหมู่บ้านเดิมของพระโมคคัลลานะ
เข้าด้วยกัน
กำเนิดนาลันทานี้ ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เมื่อพระสารีบุตรพิจารณาเห็นว่าอายุขัยของตนสิ้นสุดลงแล้ว จึงได้เข้าเฝ้ากราบลาพระพุทธเจ้า และกลับสู่บ้านเกิด ของตนเองเพื่อโปรดนางสารีโยมมารดาให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อโปรด โยมมารดาจนบรรลุโสดาบันแล้วก็เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นางสารีได้จัดพิธีศพ
เมื่อเผาสรีร่างของพระสารีบุตรแล้ว ก็เก็บรวบรวมอัฐิมาถวายพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวัน ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญคุณงามความดีของพระสารีบุตร แล้วรับสั่งให้จัดทำสถูปบรรจุอัฐพระสารีบุตรไว้ ณ ที่นั้น ส่วนสถานที่เผาศพพระสารีบุตรที่นาลันทา
คาดว่าจะมีกองดินเพิ่มขึ้นไปจนเป็นเนินดินสูง ต่อมามีการสร้างสถูปองค์เล็กๆให้ลูกศิษย์และญาติโยมไว้กราบไหว้บูชา มีการค้างแรม สาธยายพระพุทธมนต์ กล่าวสั่งสอนพระธรรมวินัยกัน จนกลายเป็นวัดหรือสังฆาราม
จนถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้เสด็จมาเยี่ยมเมืองนาลันทา เมื่อทรงอนุสรณ์รำลึกถึงพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
จึงรับสั่งให้สร้างเสริมพระสถูปใหม่ขึ้นอีกสององค์เพื่ออุทิศแด่พระอัครสาวกทั้งสอง
พร้อมกับสร้างกุฏิสงฆ์และวิหารเพิ่มขึ้น ณ วัดปาริกอัมพวัน ใกล้ๆกับสถูปทั้งสององค์นั้น
สมัยราชวงศ์คุปตะ (พ.ศ.๙๕๘)
พระราชาหลายพระองค์ในยุคนั้นได้สร้าง วัดเพิ่มเติมอีกหลายวัดแล้วก่อกำแพงล้อมวัดทั้งหมดเหลือไว้เพียงประตูเข้า-ออก เพียงประตูเดียว รวมเป็น
๖-๗ วัด จึงเป็นที่มาของคำว่า “มหาวิหาร” เรียกชื่อเต็มๆว่า “นาลันทามหาวิหาร”
คำว่า “นาลันทา”
เป็นชื่อของสถาบันการศึกษา แปลว่า “ที่ที่ให้ความรู้ สติปัญญา ความสามารถ”
(นาลัง + ทา) ถ้าเป็นหมู่บ้านก็แปลว่า “หมู่บ้านที่ไม่เคยอิ่มด้วยการให้”
(น + อลัง +ททามิ)
สมัยพระเจ้าหรรษวรรธนะ (พ.ศ.๑๑๔๙ –๑๑๙๑)
พระราชาพระองค์นี้ได้ถวายการอุปถัมภ์แก่นาลันทาอย่างแข็งแรง ในช่วงปี พ.ศ.๑๑๗๒–๑๑๘๗ พระอาจารย์ถังซัมจั๋งได้เดินทางมาสืบพระศาสนาในอินเดียและได้ศึกษาเล่าเรียนในนาลันทา ท่านเล่าว่า
พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานหมู่บ้าน ๑๐๐ ตำบลแห่งนาลันทา และให้ชาวบ้านตำบลละ ๒ คน ผลัดเปลี่ยนกันมาทำครัวปรุงอาหารถวายพระสงฆ์ และมานพนักศึกษา และในแต่ละปีๆละ ๒๑วัน พระราชาจะอาราธนาพระสงฆ์ ทั้งครูอาจารย์ และนักศึกษาจำนวนพันไปฉันภัตตาหารและประชุมกันภายในพระราชวัง ณ เมืองกโนช เป็นประจำ
ดังนั้นนักศึกษาของนาลันทา
จึงไม่ต้องกังวลเรื่องปัจจัย ๔ โดยเฉพาะเรื่องขบฉันจึงมีเวลาท่อง บ่น อ่านทบทวนตำรับตำราได้เต็มที่ จนมีความเปรื่องปราดฉลาดหลักแหลมในพระพุทธธรรมและศาสตร์ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย
กิตติศัพท์ความเก่งกาจนี้ได้ดึงเอานักศึกษาจากมุมต่างๆของชมพูทวีปและอินเดียหลั่งไหลกันเข้าไปศึกษากัน ณ ที่นั้น จำนวนนักศึกษา ๑๐,๐๐๐ ท่านก็เพิ่มขึ้นอีก ๓-๔ พันคน ครูอาจารย์-เจ้าหน้าที่ ๑,๕๐๐ ท่าน ก็ไม่เพียงพอ พระราชาต้องพระราชทานหมู่บ้านเพิ่มขึ้น ๑๐๐ หมู่บ้าน
เพื่อจัดการเรื่องข้าวปลาอาหารมาถวายพระสงฆ์-นักศึกษา
ตามบันทึกของท่านสมณจีนอี้จิง เมื่อปี พ.ศ.๑๒๒๓ เล่าว่า
มีนักศึกษาต่างบ้านต่างเมือง เช่น จีน ทิเบต มองโกเลีย เกาหลี ชวา และสุมาตราฯลฯ
ถ้าเปรียบเทียบอายุของมหาวิทยาลัยนาลันทากับมหาวิทยาลัยอื่นๆ พบว่านาลันทาเกิดก่อนมหาวิทยาลัยยุคแรกๆของยุโรป เช่น มหาวิทยาลัยโปโลนยา (Bolonya)
และปารีส (Paris) พระถังซัมจั๋งได้บรรยายว่า นาลันทามีนักศึกษาและครูอาจารย์นับหมื่นรูป มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันในแวดวงมหายาน ได้แก่ ท่านนาคกรชุน
ท่านอสังคะ ท่านทินนาคะ ท่านศีลภัทร ท่านธรรมปาละ ท่านกุมาร-ชีวะและรวมถึงท่านถังซัมจั๋งด้วย
จุดสิ้นสุดของนาลันทา เป็นเรื่องเศร้าสะเทือนใจชาวพุทธมากเกิดขึ้นราวปี พ.ศ. ๑๗๖๖ กองทัพมุสลิม
เตอร์ก นำโดย อิคเทียขิลลิ ลูกชายของ ภักเทียขิลลิ แม่ทัพมุสลิม ซึ่งได้เข้าทำลายวัดวาอารามและศาสนสถานของศาสนาพุทธมาตามลำดับ
ได้นำกำลังทหารประมาณ ๒๐๐ คนเข้าสังหารพระภิกษุนักศึกษา และเผาทำลายนาลันทา ดังบันทึกของท่านตารนาถ ชาวทิเบตกล่าวไว้ว่า
“กองทัพเตอร์กมุสลิม
หลังจากรุกรบชนะและปกครองชมพูทวีปส่วนเหนือและแคว้นมคธ แล้ว จากนั้นก็เริ่มทำลายวัดวาอารามและปูชนียสถานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาย
ต่อมา พ.ศ.๑๗๖๖ กองทัพมุสลิมนำโดย อิคเทียขิลลิ พร้อมด้วยทหารม้า ๒๐๐ คน
ก็ได้ยกทัพมาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา”
พระภิกษุถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมจำนวนมากมาย
ส่วนที่เหลือรอดก็พากันหนีตายเข้าสู่เนปาล ธิเบต บังคลาเทศ
จากนั้นดวงประทีปแห่งพระพุทธศาสนาในชมพูทวีปก็พลันดับวูบลงเหลือแต่ความมืดมน แม้แต่พระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอินเดียเมื่อร้อยกว่าปีโน้นยังไม่รู้จักเลย
ขณะที่บันทึกเรื่องราวของนาลันทานี้ ผู้เขียนรู้สึกเศร้าสะเทือนใจ
น้ำตาพาลจะไหล ทำไมเขาใจร้ายจัง ทำร้ายทำลายชีวิตกันได้แม้กับพระสงฆ์
เพียงเพราะต่างศาสนากันเท่านั้นเอง
ในบ่ายวันนั้น กองทัพธรรมเดินทางจาริกยังนาลันทา
อากาศร้อนขึ้นกว่าเมื่อเช้ามาก แสงแดดจัด แต่ที่นี่ยังพอมีร่มไม้
เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ได้รับการดูแลจัดสวนโดยรอบอย่างสวยงาม
นาลันทานี้ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ มีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง
จากปากทางเข้าไปสู่ตัวมหาวิทยาลัยเดินไกลพอสมควร มีกำแพงก่ออิฐแดง เป็นชั้นๆ ภายในมีซากปรักหักพังอิฐแดงที่เคยเป็นที่พัก ที่ศึกษา ที่ประกอบอาหาร ฯลฯ ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ขณะเดินเข้าไปกับแม่ๆใหม่
พวกเรารู้สึกกระหายน้ำมากจนคอแห้ง ผู้เขียนมีน้ำติดย่ามมาครึ่งขวดเลยนำมาแบ่งกันดื่มคนลึกสองอึก การดื่มนี้ จะยืนดื่มไม่ได้เพราะเป็นข้อกำหนดที่แม่เก่าสอนไว้ว่า บวชแล้วให้นั่งดื่มน้ำ
พวกเราสี่ห้าคนก็เลยซุกตัวเข้าไปนั่งเบียดๆกันดื่มน้ำในพุ่มไม้แถวนั้น น้ำสองสามอึกนี้นับว่าเป็นน้ำที่อร่อยมากเพราะมันเจือด้วยน้ำใจมิตรภาพและการแบ่งปัน
สถานที่นี้เราได้ปฏิบัติบูชาด้วยการสวดมนต์
นั่งภาวนาเช่นเคย
ทุกครั้งทีมงานบุญล้นบาตรจะดูแลการเตรียมสถานที่โดยปูผ้าใบขนาดใหญ่ให้กองทัพธรรมนั่งปฏิบัติบูชา
ตอนที่ปฏิบัตินี้ ลมกรรโชกแรงมากหลายครั้ง สำหรับผู้เขียนแล้ว การนั่งภาวนาที่นี่ภายในใจมีแต่ความร้อนรุ่มกระวนกระวายไม่สงบอาจด้วยอากาศร้อนมาก
หรืออะไรก็ตามแต่
รู้แต่ว่าภายในใจมันโศกเศร้าและหดหู่กับเรื่องราวที่ได้รับรู้อย่างที่สุด
คืนวันนั้นนาลันทาคงจะสว่างไสวไปด้วยเปลวเพลิงที่ร้อนรุ่ม เพลิงที่เผาผลาญทั้งพระสงฆ์ กุฏิที่พัก ที่เรียน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมถึงตำรา
ความรู้ต่างๆของพุทธศาสนาที่สะสมมาหลายร้อยปีถูกเผาผลาญซึ่งมีจำนวนมากมายจนต้องใช้เวลานานถึงสามเดือนกว่าจะเผาหมด มันจึงเศร้าสะเทือนใจอย่างที่สุด ที่นี่เป็นอีกแห่งที่ผู้เขียนได้สัมผัสเสียงสวดมนต์ของคณะสงฆ์อย่างชัดเจน
ธรรมที่ได้จากนาลันทา คือ การเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา การเผยแพร่ธรรมของพระพุทธองค์ และพระสงฆ์สาวก
จนพระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดและสุดท้ายก็สิ้นสุดลงอย่างน่าเศร้าใจ ณ นาลันทาแห่งนี้ แม้แต่พระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่ยังแสดงธรรมของความไม่เที่ยงให้เราเห็นเช่นกัน สุดท้ายผู้เขียนบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะเผาอะไร เขาจะเผาร่างกาย เขาจะเผาหนังสือ เขาจะเผาวัดวาอารามต่างๆ เขาเผาได้แต่เพียงสิ่งที่เป็นภายนอก เขาไม่อาจเผาใจอันบริสุทธิ์ของพุทธศาสนิกชนที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาได้
นี่เองคงเป็นสาเหตุที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ได้ตราบจนทุกวันนี้
หลังจากจาริกที่นาลันทาแล้ว ช่วงเย็นกองทัพธรรมไปทำวัตรเย็นวัดไทยสิริราชคฤห์ ทางวัดได้จัดการต้อนรับอย่างดี ทีมงานแม่เก่าและโยมอุปัฏฐาก จัดน้ำปานะให้ดื่ม จากนั้นเราได้ไปสวดมนต์ นั่งกรรมฐาน และฟังธรรมะจากพระอาจารย์ ดร.
วิเชียร (พระครูปลัดสุวัฒนพุทธิคุณ - พระมหา ดร. วิเชียร วชิรวํโส ประธานสงฆ์
วัดไทยสิริราชคฤห์ ประเทศอินเดีย) สิ่งที่ประทับใจในการไปวัดไทยในประเทศอินเดียทุกวัด
คือ การต้อนรับอันอบอุ่นของทางวัด ทั้งอาหารที่นำมาถวายตั้งแต่ตอนฉันเพล และการดูแลจัดเตรียมที่พักรับคณะสงฆ์กองทัพธรรม รอยยิ้มที่มีเมตตาและทักทายของพระสงฆ์และฆราวาสที่นั่น คนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ใจดีมีน้ำใจต่อกันจริงๆ
และคืนนั้นพระสงฆ์กองทัพธรรมก็จำวัดที่นี่ ส่วนแม่ๆและทีมงาน
เข้าพักในโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น