หน้าเว็บ

8/20/2558

นักบวชสตรี ๑๘. นาลันทามหาวิหาร...ความยิ่งใหญ่กับการล่มสลายของพุทธศาสนาในอินเดีย


           กราบหลวงพ่อองค์ดำเสร็จ  เรานั่งรถม้าออกมาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้ๆกันกับสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อองค์ดำ มหาวิทยาลัยนาลันทานี้มีพื้นที่กว้าง-ยาวด้านละ ๑๐ ไมล์ โดยคาดว่าน่าจะรวมเอาหมู่บ้าน “นาทกคาม”ที่เป็นหมู่บ้านเดิมของพระสารีบุตรและ“โกลิตคาม”ที่เป็นหมู่บ้านเดิมของพระโมคคัลลานะ เข้าด้วยกัน
        กำเนิดนาลันทานี้ ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เมื่อพระสารีบุตรพิจารณาเห็นว่าอายุขัยของตนสิ้นสุดลงแล้ว จึงได้เข้าเฝ้ากราบลาพระพุทธเจ้า และกลับสู่บ้านเกิด  ของตนเองเพื่อโปรดนางสารีโยมมารดาให้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อโปรด        โยมมารดาจนบรรลุโสดาบันแล้วก็เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นางสารีได้จัดพิธีศพ เมื่อเผาสรีร่างของพระสารีบุตรแล้ว ก็เก็บรวบรวมอัฐิมาถวายพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวัน ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญคุณงามความดีของพระสารีบุตร  แล้วรับสั่งให้จัดทำสถูปบรรจุอัฐพระสารีบุตรไว้ ณ ที่นั้น ส่วนสถานที่เผาศพพระสารีบุตรที่นาลันทา คาดว่าจะมีกองดินเพิ่มขึ้นไปจนเป็นเนินดินสูง ต่อมามีการสร้างสถูปองค์เล็กๆให้ลูกศิษย์และญาติโยมไว้กราบไหว้บูชา มีการค้างแรม สาธยายพระพุทธมนต์ กล่าวสั่งสอนพระธรรมวินัยกัน จนกลายเป็นวัดหรือสังฆาราม จนถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้เสด็จมาเยี่ยมเมืองนาลันทา เมื่อทรงอนุสรณ์รำลึกถึงพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จึงรับสั่งให้สร้างเสริมพระสถูปใหม่ขึ้นอีกสององค์เพื่ออุทิศแด่พระอัครสาวกทั้งสอง พร้อมกับสร้างกุฏิสงฆ์และวิหารเพิ่มขึ้น ณ วัดปาริกอัมพวัน ใกล้ๆกับสถูปทั้งสององค์นั้น            
          สมัยราชวงศ์คุปตะ (พ.ศ.๙๕๘) พระราชาหลายพระองค์ในยุคนั้นได้สร้าง วัดเพิ่มเติมอีกหลายวัดแล้วก่อกำแพงล้อมวัดทั้งหมดเหลือไว้เพียงประตูเข้า-ออก เพียงประตูเดียว รวมเป็น ๖-๗ วัด จึงเป็นที่มาของคำว่า “มหาวิหาร” เรียกชื่อเต็มๆว่า “นาลันทามหาวิหาร”
          คำว่า “นาลันทา” เป็นชื่อของสถาบันการศึกษา แปลว่า “ที่ที่ให้ความรู้ สติปัญญา ความสามารถ” (นาลัง + ทา) ถ้าเป็นหมู่บ้านก็แปลว่า “หมู่บ้านที่ไม่เคยอิ่มด้วยการให้” (น + อลัง +ททามิ)
           สมัยพระเจ้าหรรษวรรธนะ (พ.ศ.๑๑๔๙ –๑๑๙๑) พระราชาพระองค์นี้ได้ถวายการอุปถัมภ์แก่นาลันทาอย่างแข็งแรง ในช่วงปี พ.ศ.๑๑๗๒–๑๑๘๗  พระอาจารย์ถังซัมจั๋งได้เดินทางมาสืบพระศาสนาในอินเดียและได้ศึกษาเล่าเรียนในนาลันทา ท่านเล่าว่า พระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานหมู่บ้าน ๑๐๐ ตำบลแห่งนาลันทา และให้ชาวบ้านตำบลละ ๒ คน ผลัดเปลี่ยนกันมาทำครัวปรุงอาหารถวายพระสงฆ์ และมานพนักศึกษา และในแต่ละปีๆละ ๒๑วัน พระราชาจะอาราธนาพระสงฆ์ ทั้งครูอาจารย์ และนักศึกษาจำนวนพันไปฉันภัตตาหารและประชุมกันภายในพระราชวัง ณ เมืองกโนช เป็นประจำ
          ดังนั้นนักศึกษาของนาลันทา จึงไม่ต้องกังวลเรื่องปัจจัย ๔ โดยเฉพาะเรื่องขบฉันจึงมีเวลาท่อง บ่น อ่านทบทวนตำรับตำราได้เต็มที่ จนมีความเปรื่องปราดฉลาดหลักแหลมในพระพุทธธรรมและศาสตร์ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย กิตติศัพท์ความเก่งกาจนี้ได้ดึงเอานักศึกษาจากมุมต่างๆของชมพูทวีปและอินเดียหลั่งไหลกันเข้าไปศึกษากัน ณ ที่นั้น จำนวนนักศึกษา ๑๐,๐๐๐ ท่านก็เพิ่มขึ้นอีก ๓-๔ พันคน ครูอาจารย์-เจ้าหน้าที่ ๑,๕๐๐ ท่าน ก็ไม่เพียงพอ พระราชาต้องพระราชทานหมู่บ้านเพิ่มขึ้น ๑๐๐ หมู่บ้าน เพื่อจัดการเรื่องข้าวปลาอาหารมาถวายพระสงฆ์-นักศึกษา ตามบันทึกของท่านสมณจีนอี้จิง เมื่อปี พ.ศ.๑๒๒๓ เล่าว่า มีนักศึกษาต่างบ้านต่างเมือง เช่น จีน ทิเบต มองโกเลีย เกาหลี ชวา และสุมาตราฯลฯ 
          ถ้าเปรียบเทียบอายุของมหาวิทยาลัยนาลันทากับมหาวิทยาลัยอื่นๆ พบว่านาลันทาเกิดก่อนมหาวิทยาลัยยุคแรกๆของยุโรป เช่น มหาวิทยาลัยโปโลนยา (Bolonya) และปารีส (Paris) พระถังซัมจั๋งได้บรรยายว่า นาลันทามีนักศึกษาและครูอาจารย์นับหมื่นรูป มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันในแวดวงมหายาน ได้แก่ ท่านนาคกรชุน ท่านอสังคะ ท่านทินนาคะ ท่านศีลภัทร ท่านธรรมปาละ ท่านกุมาร-ชีวะและรวมถึงท่านถังซัมจั๋งด้วย
          จุดสิ้นสุดของนาลันทา เป็นเรื่องเศร้าสะเทือนใจชาวพุทธมากเกิดขึ้นราวปี พ.ศ. ๑๗๖๖  กองทัพมุสลิม เตอร์ก นำโดย อิคเทียขิลลิ ลูกชายของ ภักเทียขิลลิ แม่ทัพมุสลิม ซึ่งได้เข้าทำลายวัดวาอารามและศาสนสถานของศาสนาพุทธมาตามลำดับ ได้นำกำลังทหารประมาณ ๒๐๐ คนเข้าสังหารพระภิกษุนักศึกษา และเผาทำลายนาลันทา ดังบันทึกของท่านตารนาถ ชาวทิเบตกล่าวไว้ว่า
         “กองทัพเตอร์กมุสลิม หลังจากรุกรบชนะและปกครองชมพูทวีปส่วนเหนือและแคว้นมคธ แล้ว จากนั้นก็เริ่มทำลายวัดวาอารามและปูชนียสถานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมาย ต่อมา พ.ศ.๑๗๖๖ กองทัพมุสลิมนำโดย อิคเทียขิลลิ พร้อมด้วยทหารม้า ๒๐๐ คน ก็ได้ยกทัพมาทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา”
          พระภิกษุถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมจำนวนมากมาย ส่วนที่เหลือรอดก็พากันหนีตายเข้าสู่เนปาล ธิเบต บังคลาเทศ จากนั้นดวงประทีปแห่งพระพุทธศาสนาในชมพูทวีปก็พลันดับวูบลงเหลือแต่ความมืดมน แม้แต่พระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอินเดียเมื่อร้อยกว่าปีโน้นยังไม่รู้จักเลย
         ขณะที่บันทึกเรื่องราวของนาลันทานี้ ผู้เขียนรู้สึกเศร้าสะเทือนใจ น้ำตาพาลจะไหล ทำไมเขาใจร้ายจัง ทำร้ายทำลายชีวิตกันได้แม้กับพระสงฆ์ เพียงเพราะต่างศาสนากันเท่านั้นเอง
          ในบ่ายวันนั้น กองทัพธรรมเดินทางจาริกยังนาลันทา อากาศร้อนขึ้นกว่าเมื่อเช้ามาก แสงแดดจัด แต่ที่นี่ยังพอมีร่มไม้ เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ได้รับการดูแลจัดสวนโดยรอบอย่างสวยงาม นาลันทานี้ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ มีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง จากปากทางเข้าไปสู่ตัวมหาวิทยาลัยเดินไกลพอสมควร มีกำแพงก่ออิฐแดง เป็นชั้นๆ ภายในมีซากปรักหักพังอิฐแดงที่เคยเป็นที่พัก ที่ศึกษา ที่ประกอบอาหาร ฯลฯ ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ขณะเดินเข้าไปกับแม่ๆใหม่ พวกเรารู้สึกกระหายน้ำมากจนคอแห้ง ผู้เขียนมีน้ำติดย่ามมาครึ่งขวดเลยนำมาแบ่งกันดื่มคนลึกสองอึก การดื่มนี้ จะยืนดื่มไม่ได้เพราะเป็นข้อกำหนดที่แม่เก่าสอนไว้ว่า บวชแล้วให้นั่งดื่มน้ำ พวกเราสี่ห้าคนก็เลยซุกตัวเข้าไปนั่งเบียดๆกันดื่มน้ำในพุ่มไม้แถวนั้น น้ำสองสามอึกนี้นับว่าเป็นน้ำที่อร่อยมากเพราะมันเจือด้วยน้ำใจมิตรภาพและการแบ่งปัน
         สถานที่นี้เราได้ปฏิบัติบูชาด้วยการสวดมนต์ นั่งภาวนาเช่นเคย ทุกครั้งทีมงานบุญล้นบาตรจะดูแลการเตรียมสถานที่โดยปูผ้าใบขนาดใหญ่ให้กองทัพธรรมนั่งปฏิบัติบูชา ตอนที่ปฏิบัตินี้ ลมกรรโชกแรงมากหลายครั้ง สำหรับผู้เขียนแล้ว  การนั่งภาวนาที่นี่ภายในใจมีแต่ความร้อนรุ่มกระวนกระวายไม่สงบอาจด้วยอากาศร้อนมาก หรืออะไรก็ตามแต่ รู้แต่ว่าภายในใจมันโศกเศร้าและหดหู่กับเรื่องราวที่ได้รับรู้อย่างที่สุด คืนวันนั้นนาลันทาคงจะสว่างไสวไปด้วยเปลวเพลิงที่ร้อนรุ่ม เพลิงที่เผาผลาญทั้งพระสงฆ์ กุฏิที่พัก ที่เรียน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ รวมถึงตำรา ความรู้ต่างๆของพุทธศาสนาที่สะสมมาหลายร้อยปีถูกเผาผลาญซึ่งมีจำนวนมากมายจนต้องใช้เวลานานถึงสามเดือนกว่าจะเผาหมด มันจึงเศร้าสะเทือนใจอย่างที่สุด ที่นี่เป็นอีกแห่งที่ผู้เขียนได้สัมผัสเสียงสวดมนต์ของคณะสงฆ์อย่างชัดเจน
          ธรรมที่ได้จากนาลันทา คือ การเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา การเผยแพร่ธรรมของพระพุทธองค์ และพระสงฆ์สาวก จนพระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองที่สุดและสุดท้ายก็สิ้นสุดลงอย่างน่าเศร้าใจ ณ นาลันทาแห่งนี้ แม้แต่พระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่ยังแสดงธรรมของความไม่เที่ยงให้เราเห็นเช่นกัน สุดท้ายผู้เขียนบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เขาจะเผาอะไร เขาจะเผาร่างกาย เขาจะเผาหนังสือ เขาจะเผาวัดวาอารามต่างๆ เขาเผาได้แต่เพียงสิ่งที่เป็นภายนอก เขาไม่อาจเผาใจอันบริสุทธิ์ของพุทธศาสนิกชนที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาได้ นี่เองคงเป็นสาเหตุที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่ได้ตราบจนทุกวันนี้
        หลังจากจาริกที่นาลันทาแล้ว ช่วงเย็นกองทัพธรรมไปทำวัตรเย็นวัดไทยสิริราชคฤห์ ทางวัดได้จัดการต้อนรับอย่างดี ทีมงานแม่เก่าและโยมอุปัฏฐาก จัดน้ำปานะให้ดื่ม  จากนั้นเราได้ไปสวดมนต์  นั่งกรรมฐาน และฟังธรรมะจากพระอาจารย์ ดร. วิเชียร (พระครูปลัดสุวัฒนพุทธิคุณ - พระมหา ดร. วิเชียร วชิรวํโส ประธานสงฆ์ วัดไทยสิริราชคฤห์ ประเทศอินเดีย) สิ่งที่ประทับใจในการไปวัดไทยในประเทศอินเดียทุกวัด คือ การต้อนรับอันอบอุ่นของทางวัด ทั้งอาหารที่นำมาถวายตั้งแต่ตอนฉันเพล  และการดูแลจัดเตรียมที่พักรับคณะสงฆ์กองทัพธรรม รอยยิ้มที่มีเมตตาและทักทายของพระสงฆ์และฆราวาสที่นั่น คนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ใจดีมีน้ำใจต่อกันจริงๆ และคืนนั้นพระสงฆ์กองทัพธรรมก็จำวัดที่นี่ ส่วนแม่ๆและทีมงาน เข้าพักในโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น