หลังการรับประทานอาหารกลางวัน
ช่วงบ่ายเป็นการไปจาริกแสวงบุญ ณ นาลันทามหาวิหาร หรือที่นิยมเรียกกันว่า "มหาวิทยาลัยนาลันทา"
ซึ่งอยู่ห่างจากนครราชคฤห์ประมาณ ๑๓
กิโลเมตร โดยไปกราบหลวงพ่อองค์ดำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บริเวณด้านท้ายของนาลันทาก่อน แล้วจึงไปมหาวิทยาลัยนาลันทาซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์อันยิ่งใหญ่แห่งแรกของโลก
ก่อนจะมาที่นาลันทานี้ ผู้เขียนตั้งใจมากที่จะมากราบหลวงพ่อองค์ดำ
เนื่องด้วยหลวงพ่อที่เป็นครูบาอาจารย์ทางธรรมของผู้เขียนท่านเคยมา
ท่านได้ถ่ายรูปหน้าหลวงพ่อองค์ดำ รูปนี้มีความพิเศษคือมีลำแสงจากพระเนตรของหลวงพ่อองค์ดำลงมาเชื่อมกับศีรษะของหลวงพ่อ หลวงพ่อได้จัดทำภาพนี้แจกให้ลูกศิษย์ไว้บูชา ท่านไม่ได้กล่าวถึงลำแสงนี้ หากแต่เล่าให้ลูกศิษย์ฟังด้วยคำพูดง่ายๆว่า
"นี่ไง หลวงพ่อองค์ดำ
ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ไฟไม่ไหม้ เขาเผามหาวิทยาลัยนาลันทาหมด พระสงฆ์มรณภาพมากมาย
เหลือแต่หลวงพ่อองค์ดำองค์เดียวไม่ไหม้ไฟ"
ผู้เขียนจึงตั้งตารอวันที่จะได้มาเมืองนาลันทา
ด้วยอยากกราบหลวงพ่อองค์ดำซึ่งเป็นพระพุทธรูปหินดำองค์ใหญ่สุดที่เหลือจาการเผาทำลายของกองทัพมุสลิมเตอร์ก
เมื่อขบวนรถบัสเดินทางถึงลานจอดรถที่ใกล้กับสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อองค์ดำ
มีรถม้ารับจ้างมารอรับคณะกองทัพธรรม
พระภิกษุและแม่ๆ บางท่านก็เดินเท้าเข้าไป
บางท่านเช่นผู้เขียนและแม่ๆใหม่ก็ใช้บริการรถม้าของชาวบ้าน
แสงแดดจัดและอากาศยามบ่ายร้อนมากน่าจะมีอุณหภูมิสูงกว่าสี่สิบองศาเซลเซียส
ชาวบ้านและเด็กๆชาวอินเดียดูจะคุ้นเคยกับการมาของนักแสวงบุญ
พวกเขาดูมีชีวิตชีวาที่จะชวนเราขึ้นรถม้า
พ่อค้าเร่ก็เดินตามร้องบอกเชิญชวนให้ซื้อสินค้าของตน เด็กๆก็แข่งกันมาขอสตางค์
แม้จะต้องระมัดระวังการให้ทานที่อาจก่อให้เกิดความลำบากใจในการถูกรุมขอ
แต่ตลอดการเดินทางแม่ๆใหม่ก็หาจังหวะที่เหมาะสมของตนเองในการให้ทานที่จะไม่ก่อให้เกิดความชุลมุน
ซึ่งบางครั้งก็ทำไม่สำเร็จ รวมทั้งตัวผู้เขียนด้วย
อันนี้นับเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งที่ไม่ควรลอกเลียนแบบเพราะอาจเกิดอันตรายได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น