หน้าเว็บ

8/14/2558

นักบวชสตรี ๗. ถึงแล้วพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้



          คณะของผู้เขียนเดินทางเข้าที่พัก ณ โรงแรมอิมพีเรียล ที่นี่เองเป็นที่พักของเราในช่วงก่อน-หลัง การเดินทางจาริกแสวงบุญ เราไปทันรับประทานอาหารกลางวันพอดี ได้มีโอกาสกราบคุณแม่ ช่วงบ่ายเป็นการปลงผมให้กับคณะเรา คณะที่เดินทางมาก่อนหน้าเราปลงผมกันเรียบร้อยหมดแล้ว ช่วงเย็นคณะทหาร-ตำรวจกองทัพธรรมที่มารวมตัวกันครบแล้ว สองร้อยกว่าชีวิต รวมทั้งคณะอำนวยการ หลวงตา คุณแม่ พระพี่เลี้ยง แม่พรหมจาริณีพี่เลี้ยง โยมอุปัฏฐาก ทีมงานดูแลคณะจาริกฯของบริษัทบุญล้นบาตร (ช่วงนั้นอยู่ในระหว่างก่อตั้ง) รวม ๘ รถบัส  เดินทางออกจากโรงแรมไปยังสวดมนต์ทำวัตรเย็น และนั่งสมาธิ ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

                    สถานที่ตรัสรู้นี้ แต่เดิมทีเดียวในสมัยพุทธกาลนั้นคือตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองคยา แคว้นมคธ ซึ่งมีเมืองราชคฤห์เป็นเมืองหลวง ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้นี้เรียก ตำบลพุทธคยาขึ้นอยู่กับจังหวัดคยา(ห่างจากจังหวัดคยา ๑๒ กิโลเมตร)รัฐพิหาร มีเมืองหลวงชื่อ ปัฎนะ หรือ ปัฎนา (หรือชื่อเดิมว่าปาฎลีบุตร)

                    ข้อความต่อไปนี้คัดลอกจากบางส่วนของคู่มือที่แจกให้ผู้ร่วมโครงการ ที่เราได้อ่านกันหลายรอบในช่วงการจาริก เสมือนประทับไว้ในความทรงจำ ตราไว้ในจิต ในใจเลยทีเดียว ขออนุโมทนาบุญให้กับผู้จัดทำทางวัดที่อดหลับอดนอนเร่งผลิตหนังสือเล่มนี้และหนังสือสวดมนต์ให้เรา ...สาธุ

                    "ในบรรดาพุทธสถาน - สังเวชนียสถานนับสิบๆแห่งในอินเดียนั้น "พุทธคยา" ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญโดดเด่นที่สุดและมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของชาวพุทธนับร้อยล้านคนทั่วโลก เพราะ "พุทธคยา" ซึ่งท่านกล่าวประดุจว่าเป็นสะดือของโลก (ปฐวินาภิมณฑล) เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (และอดีตที่ล่วงไปแล้วทุกองค์ รวมพระพุทธเจ้าในอดีตแห่งภัทรกัลป์นี้ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าพระองค์ใดๆในอนาคตนั้นหากจะอุบัติขึ้นมา ก็คงจะอุบัติขึ้นมา ณ บริเวณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งเดียวกันนี้

                    เมื่อเราเหยียบย่างเข้าไปในเขตของพุทธคยา เราก็จะสัมผัสได้กับกลิ่นไอของพระอรหันต์ ความสงบเยือกเย็นของการอธิษฐานจิต การแผ่เมตตา และพลานุภาพแห่งพลังจิตพิเศษต่างๆของพระบรมศาสดาในอดีตทุกพระองค์ พระอรหันต์สาวก ทั้งชาย-หญิง ในอดีตนับหมื่นนับแสนองค์ พลังความศักดิ์สิทธิ์นี้ยังคงเป็นเสน่ห์ตราตรึงเหมือนแสงสว่าง ไออุ่นของดวงสุริยัน ที่เรียกร้องให้เรากลับไปรับเอาพลานุภาพนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดมา"

          สำหรับผู้เขียนแล้ว การอ่านก่อนไปถึงสถานที่ตรัสรู้อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ยังไม่ซึ้งใจเท่าไปสถานที่แห่งนี้มาแล้ว และกลับมาอ่านอีกครั้ง  ประสบการณ์ ที่ผู้เขียนได้รับรู้และสัมผัส ณ สถานที่ตรัสรู้ แห่งนี้ ได้แก่

          ๑. การสวดมนต์ นั่งสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ เสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และพระอรหันตสาวกทุกคนมีความตั้งใจ มีใจตั้งมั่น บางท่านได้รับใบโพธิ์ที่ร่วงลงสู่อาสนะเก็บกลับมาบูชา..สาธุ

          ๒. การอธิษฐานจิต ณ สถานที่แห่งนี้ มีพลังมาก ผู้เขียนได้ปิดแผ่นทองบนแผ่นหินที่ใกล้กับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่สุด แตะหน้าผากสัมผัสแผ่นหินอธิษฐานจิต ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และขอพร ๓ ประการ  ดังนี้

              ๑.) ขอให้ประเทศเราร่มเย็นเป็นสุข เป็นปึกแผ่น ไม่แตกแยก

              ๒.) ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญแก่ปวงชนชาวไทย

              ๓.) ขอพรให้ตนเองในทางธรรม

          หลังกลับจากทำวัตรเย็น ทหาร-ตำรวจชาย เดินทางไปบวชนาค ณ วัดไทยพุทธคยา  ส่วนทหาร-ตำรวจหญิง เข้าที่พัก  ในคืนวันนั้นเอง ผู้เขียนหลับตานอก แต่ตาในไม่อาจหลับได้ ตื่นภายใน มองภายในสว่าง สว่างแม้ว่าภายในห้องพักดับไฟแสงสว่างแล้ว  พลังแห่งศรัทธาที่ได้มา ณ สถานที่ตรัสรู้นั้น  เสมือนใจได้รับรู้แล้วว่า พระพุทธองค์มีจริง สถานที่ตรัสรู้มีจริง ต้นพระศรีมหาโพธิ์มีจริง  ข้อแรกในพละ ๕ คือ ศรัทธา ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตในใจแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น