คณะของผู้เขียนเดินทางเข้าที่พัก
ณ โรงแรมอิมพีเรียล ที่นี่เองเป็นที่พักของเราในช่วงก่อน-หลัง
การเดินทางจาริกแสวงบุญ เราไปทันรับประทานอาหารกลางวันพอดี ได้มีโอกาสกราบคุณแม่
ช่วงบ่ายเป็นการปลงผมให้กับคณะเรา
คณะที่เดินทางมาก่อนหน้าเราปลงผมกันเรียบร้อยหมดแล้ว
ช่วงเย็นคณะทหาร-ตำรวจกองทัพธรรมที่มารวมตัวกันครบแล้ว สองร้อยกว่าชีวิต รวมทั้งคณะอำนวยการ
หลวงตา คุณแม่ พระพี่เลี้ยง แม่พรหมจาริณีพี่เลี้ยง โยมอุปัฏฐาก
ทีมงานดูแลคณะจาริกฯของบริษัทบุญล้นบาตร (ช่วงนั้นอยู่ในระหว่างก่อตั้ง) รวม ๘ รถบัส
เดินทางออกจากโรงแรมไปยังสวดมนต์ทำวัตรเย็น และนั่งสมาธิ ณ
ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สถานที่ตรัสรู้นี้
แต่เดิมทีเดียวในสมัยพุทธกาลนั้นคือตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมืองคยา แคว้นมคธ
ซึ่งมีเมืองราชคฤห์เป็นเมืองหลวง ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้นี้เรียก
ตำบลพุทธคยาขึ้นอยู่กับจังหวัดคยา(ห่างจากจังหวัดคยา ๑๒ กิโลเมตร)รัฐพิหาร
มีเมืองหลวงชื่อ ปัฎนะ หรือ ปัฎนา (หรือชื่อเดิมว่าปาฎลีบุตร)
ข้อความต่อไปนี้คัดลอกจากบางส่วนของคู่มือที่แจกให้ผู้ร่วมโครงการ
ที่เราได้อ่านกันหลายรอบในช่วงการจาริก เสมือนประทับไว้ในความทรงจำ ตราไว้ในจิต
ในใจเลยทีเดียว ขออนุโมทนาบุญให้กับผู้จัดทำทางวัดที่อดหลับอดนอนเร่งผลิตหนังสือเล่มนี้และหนังสือสวดมนต์ให้เรา
...สาธุ
"ในบรรดาพุทธสถาน
- สังเวชนียสถานนับสิบๆแห่งในอินเดียนั้น "พุทธคยา"
ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญโดดเด่นที่สุดและมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของชาวพุทธนับร้อยล้านคนทั่วโลก
เพราะ "พุทธคยา" ซึ่งท่านกล่าวประดุจว่าเป็นสะดือของโลก (ปฐวินาภิมณฑล)
เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (และอดีตที่ล่วงไปแล้วทุกองค์
รวมพระพุทธเจ้าในอดีตแห่งภัทรกัลป์นี้ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ
และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าพระองค์ใดๆในอนาคตนั้นหากจะอุบัติขึ้นมา ก็คงจะอุบัติขึ้นมา ณ
บริเวณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งเดียวกันนี้
เมื่อเราเหยียบย่างเข้าไปในเขตของพุทธคยา
เราก็จะสัมผัสได้กับกลิ่นไอของพระอรหันต์ ความสงบเยือกเย็นของการอธิษฐานจิต
การแผ่เมตตา และพลานุภาพแห่งพลังจิตพิเศษต่างๆของพระบรมศาสดาในอดีตทุกพระองค์
พระอรหันต์สาวก ทั้งชาย-หญิง ในอดีตนับหมื่นนับแสนองค์
พลังความศักดิ์สิทธิ์นี้ยังคงเป็นเสน่ห์ตราตรึงเหมือนแสงสว่าง ไออุ่นของดวงสุริยัน
ที่เรียกร้องให้เรากลับไปรับเอาพลานุภาพนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดมา"
สำหรับผู้เขียนแล้ว
การอ่านก่อนไปถึงสถานที่ตรัสรู้อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ยังไม่ซึ้งใจเท่าไปสถานที่แห่งนี้มาแล้ว และกลับมาอ่านอีกครั้ง ประสบการณ์ ที่ผู้เขียนได้รับรู้และสัมผัส ณ
สถานที่ตรัสรู้ แห่งนี้ ได้แก่
๑.
การสวดมนต์ นั่งสมาธิ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ เสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์
และพระอรหันตสาวกทุกคนมีความตั้งใจ มีใจตั้งมั่น
บางท่านได้รับใบโพธิ์ที่ร่วงลงสู่อาสนะเก็บกลับมาบูชา..สาธุ
๒. การอธิษฐานจิต ณ
สถานที่แห่งนี้ มีพลังมาก
ผู้เขียนได้ปิดแผ่นทองบนแผ่นหินที่ใกล้กับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่สุด แตะหน้าผากสัมผัสแผ่นหินอธิษฐานจิต
ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และขอพร ๓ ประการ
ดังนี้
๑.)
ขอให้ประเทศเราร่มเย็นเป็นสุข เป็นปึกแผ่น ไม่แตกแยก
๒.)
ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญแก่ปวงชนชาวไทย
๓.) ขอพรให้ตนเองในทางธรรม
หลังกลับจากทำวัตรเย็น
ทหาร-ตำรวจชาย เดินทางไปบวชนาค ณ วัดไทยพุทธคยา
ส่วนทหาร-ตำรวจหญิง เข้าที่พัก
ในคืนวันนั้นเอง ผู้เขียนหลับตานอก แต่ตาในไม่อาจหลับได้ ตื่นภายใน
มองภายในสว่าง สว่างแม้ว่าภายในห้องพักดับไฟแสงสว่างแล้ว พลังแห่งศรัทธาที่ได้มา ณ สถานที่ตรัสรู้นั้น เสมือนใจได้รับรู้แล้วว่า พระพุทธองค์มีจริง
สถานที่ตรัสรู้มีจริง ต้นพระศรีมหาโพธิ์มีจริง
ข้อแรกในพละ ๕ คือ ศรัทธา ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตในใจแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น