ตัวอำเภอสัตหีบนี้เป็นศูนย์รวมของสถานที่ราชการและเอกชน
ทั้งที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจสำนักงานที่ดิน
ไปรษณีย์ ธนาคาร วัดหลวงพ่ออี๋ ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า
ร้านขายรถมอเตอร์ไซด์ ร้านซ่อมรถมอเตอร์ไซด์ อู่ซ่อมรถเก๋ง ร้านขายยางรถยนต์
ร้านเครื่องเขียน ร้านตัดเครื่องแบบ ร้านขายชุดนักเรียน ร้านขายชุด ขายหมวก เครื่องหมายยศ
แพรแถบ และรับปักชื่อบนเครื่องแบบชุดพราง ชุดหมี ที่เกี่ยวกับทหารเรือ ร้านอาหาร ตลาดเช้า
และตลาดโต้รุ่ง ฯลฯ
นี่ยังไม่นับหน่วยงานทหารเรือหน่วยใหญ่ๆ ที่รวมตัวกันหลายหน่วยในพื้นที่รอบๆ ตลาดสัตหีบ
ได้แก่ ฐานทัพเรือสัตหีบ ท่าเรือแหลมเทียน
(ที่จอดเรือรบ) หนองตะเคียน (สวนสาธารณะที่มีหนองน้ำขนาดใหญ่ มีชื่อทางการ
"สวนกรมหลวงชุมพร") แหลมปู่เจ้า(เขาเสด็จเตี่ย) โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์
(สมัยนั้นยังไม่มีโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ) กองเรือยุทธการ (ที่มีภัณฑุปกรณ์ขนาดใหญ่ขายของราคาถูกกว่าห้างทั่วไปให้พวกเราได้จับจ่ายซื้อของกินของใช้)
ถ้าเมืองหลวงของประเทศไทย คือ กรุงเทพฯ
เมืองหลวงของทหารเรือไทย ก็คงหนีไม่พ้น "สัตหีบ" การออกจากเกล็ดแก้วเมืองหลังเขาไปสัตหีบจึงเหมือนกับบ้านนอกเข้ากรุงยังไงยังงั้น
สำหรับแม่แก้วสัตหีบเป็นเมืองที่มีความทรงจำมากมาย
และคงเล่าตอนเดียวไม่จบ จะขอนำไปเล่าเพิ่ม หรือเล่าแทรกในตอนอื่นๆต่อไป
วิธีไปตลาดสัตหีบมีสองวิธี วิธีแรก คือ
ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปเอง กับอีกวิธี คือ นั่งรถสองแถวประจำทางจากแผงไป
รถนี้ออกทุกครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมงตามช่วงเวลาเร่งด่วนและไม่เร่งด่วน ตามประสารถประจำทางต่างจังหวัดที่มีปริมาณผู้ใช้น้อย
บางทีก็หายไปไม่มาตามเวลาก็มี ปล่อยให้เราแต่งตัวรอเก้อกันไปเป็นชั่วโมง
รถนี้วิ่งออกจากเกล็ดแก้วแวะรับคนตามเส้นทางที่กำหนด
วนรับคนตามบ้านพัก แล้วออกจากเกล็ดแก้ว ไปแวะรับคนต่อที่ตามบ้านพักใน
รร.พลทหาร การรับคนขึ้นรถนี้มีทั้งคนที่รออยู่หน้าบ้านพร้อมขึ้นรถ
กับอีกพวกที่ยังอยู่ในบ้าน แต่คนขับรู้ว่าไปแน่ รายหลังนี้คนขับถึงกับจอดรอหน้าบ้าน
แล้วร้องเรียกให้คนที่จะไปให้ออกจากบ้านปิดบ้านปิดช่องมาขึ้นรถ (พ่อบุญบอกว่า
ยังดีกว่ารถประจำทางแถวบ้านพ่อบุญที่ต่างจังหวัด เพราะรถจะจอดรถรอ แล้วตะโกนถามกัน
ว่าไปไหม ตั้งแต่เห็นคนเดินตัดทุ่งนามาในระยะไกลมาก) ระยะทาง ๕ - ๖ กิโล แต่กว่าจะออกจากปากทางสุขุมวิทได้น่าจะราวครึ่งชั่วโมง จากนั้นวิ่งไปสุดสายที่ตลาดสัตหีบ รวมเวลาเดินทางน่าจะ
๑ ชั่วโมงเต็มๆ เรียกว่าเป็นรถที่หวานเย็นมาก ( "รถหวานเย็น" เป็นคำสแลงที่พวกเราใช้เรียกรถที่ขับช้าๆ
แวะรับคนไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน) ถนนในสัตหีบว่างมากแต่รถกลับขับช้าๆ
ไม่รีบร้อน ไม่เหมือนรถเมล์ในกรุงเทพฯที่มีรถจำนวนมาก รถติดยังขับซิ่งได้ คิดดูแล้วทั้งรถสองแถว และเมืองหลังเขานี้เหมือนนาฬิกาที่เดินช้ากว่าโลกภายนอก
แม่แก้วจึงรู้สึกว่าช่วงนี้เป็นรอยต่อของการเป็นคนกรุงเทพฯ กับคนสัตหีบ จนพ่อบุญบอกว่า
แม่แก้วเป็นคนขัดแย้งในตัวเอง
สำหรับแม่แก้วแล้ว
วิธีแรกไปเองไม่ได้เพราะเป็นผู้หญิงขับรถมอเตอร์ไซด์ไม่คล่อง ปกติครูผู้หญิงจะไม่ขับรถออกไปไหนไกลๆ
หรือออกจาก รร.ชุมพลฯโดยไม่จำเป็น ที่ไปเองไกลสุดน่าจะเป็นบางเสร่
กับปากทางสุขุมวิท ส่วนพวกผู้ชายนี้จะไปกันไกลๆ ทั้งพัทยา (ชอบไปกันตอนดึกๆมาก) เตาถ่าน
และสัตหีบ ฯลฯ
หนนี้ก็อีกเช่นเคยที่พ่อบุญมาชวนแม่แก้วไปกินบะหมี่ลอยฟ้าที่ตลาดโต้รุ่งสัตหีบ
ตอนนั้น แม่แก้วไปทำงานใหม่ๆไม่รู้ว่าสัตหีบอยู่ไกลตั้งสิบกว่ากิโล เลยหลงกลนั่งซ้อนท้ายไปด้วย
การขี่รถมอเตอร์ไซด์บนถนนสุขุมวิทนี้นับว่าอันตราย แต่ในสมัยนั้นไปได้เพราะรถยนต์บนถนนมีน้อยกว่ารถมอเตอร์ไซด์มาก
รถมอเตอร์ไซด์เหมือนเป็นขาที่พาเราไปไหนมาไหนได้อย่างรวดเร็ว
อะไรๆในสัตหีบ
ล้วนแต่เป็นกิจการของทหารเรือ หรือทำโดยทหารเรือ ไม่ตัวเองก็ครอบครัว
ถ้าถามคนสัตหีบ หรือพ่อค้าแม่ค้า เกือบร้อยทั้งร้อยจะต้องมีความเกี่ยวพันไม่ทางใดทางหนึ่งกับทหารเรือ
ไม่เป็นลูก ก็เป็นเมีย เป็นพ่อแม่พี่น้อง หรือพี่ป้าน้าอา
ดังนั้นจึงไม่เปลกที่เราจะรู้จักคุ้นเคยกัน และเห็นคนแต่งเครื่องแบบทหารเรือ ทั้งชุดสีกากี
ชุดกลาสี ชุดหมีน้ำเงินของช่าง หรือเจ้าหน้าที่บนเรือ เดิน และขับขี่รถกันขวักไขว่ในสัตหีบ
การไปตลาดสัตหีบแต่ละครั้งอย่างน้อยต้องเจอคนรู้จักให้หยุดทักทายกันแน่นอน
ตลาดสัตหีบก็เช่นกัน
เป็นกิจการของฐานทัพเรือสัตหีบ ตลาดโต้รุ่งสัตหีบเป็นร้านอาหารทั้งแบบรถเข็นและตึกแถวที่มารวมตัวกันขายบนถนนเส้นหนึ่งใจกลางตลาดสัตหีบ
จะเริ่มเปิดขายตอนเย็นถึงกลางคืน อาหารที่ขายก็เหมือนตลาดโต้รุ่งทั่วไปตั้งแต่ข้าวต้มกุ๊ย
ข้าวต้มเครื่อง ผัดไทย หอยทอด ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง และร้านขนมหวาน ฯลฯ
"บะหมี่ลอยฟ้า" ที่พ่อบุญโฆษณาว่าอร่อยที่สุดในสัตหีบ
มีจุดขายตรงที่โยนเส้นบะหมี่ที่ลวกแล้วไปบนฟ้า แล้วให้อีกคนไปเอาชามรอรับ จากนั้นก็นำมาเติมเครื่องปรุงต่างๆให้เรากิน
ที่น่าขำ คือ เมื่อเรามองไปบนสายไฟฟ้าที่เป็นเส้นทางการโยน
พบว่ามีเส้นบะหมี่ติดอยู่เป็นกระจุกเลย บะหมี่ลอยฟ้านี้ขายดี และอร่อยสมคำโฆษณาของพ่อบุญ
(รอดตัวไป) จากนั้นเราก็ไปกินขนมน้ำแข็งไส จำพวกซาหริ่ม ทับทิมกรอบ รวมมิตร ขนมใส่น้ำกระทิสด
กับน้ำเชื่อมหอมๆ ที่ไสน้ำแข็งด้วยม้าไม้แบบโบราณนี้หอมอร่อยมาก
ของโปรดอื่นๆในตลาดโต้รุ่งสัตหีบ ยังมี
โรตีอมตะรส ที่ต้องยืนรอคิวกันเลย เพราะทอดร้อนๆ กรอบๆ ชุ่มนมข้นหวานและน้ำตาล พี่บางคนชอบทานน้ำเต้าหู้ เต้าฮวย
ก็มีเจ้าเก่าที่ขายมานานแล้วเช่นกัน ไม่รวมถึงขนมถาด ขนมไทยๆ พวกขนมชั้น หม้อแกง ทองหยิบ
ทองหยอด และฝอยทอง ฯลฯ
บะหมี่ลอยฟ้านี้ ตอนหลังขายดีจนไม่ต้องโยนลอยฟ้าก็ขายได้
แม่แก้วจำได้ว่าไปกินได้ไม่กี่ครั้งก็ไม่ลอยฟ้าแล้ว และภายหลังรูปแบบร้านก็เปลี่ยนไปจนไม่รู้ว่ายังเป็นร้านเดิมหรือเปล่า
ส่วนโรตีอมตะรสรถเข็นนี้ยังขายอยู่ บางช่วงเปิดขายสองร้านทั้งหัวถนนท้ายถนนเลย
อยู่ในเกล็ดแก้ว อาหารการกินมีให้เลือกน้อยไม่มีอะไรแปลกใหม่
การไปตลาดโต้รุ่งแต่ละครั้งจึงเหมือนกับคนตะกละ เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด
เพราะมีของกินร้อนๆ อร่อยๆให้เลือกหลายร้าน กินของคาว ของหวานจนอิ่มแปล้ แล้วยังซื้อขนม
และผลไม้ต่างๆติดมือกลับบ้านพักอีก
ขากลับจากตลาดโต้รุ่ง แม่แก้วจึงอิ่มและมีความสุขมาก
ต้องขอบคุณคนพาไปเที่ยวตลาดโต้รุ่งจริงๆ (เอาไป ๑๐ คะแนนเต็มเลย) ^^