หน้าเว็บ

6/26/2558

ตอนที่ ๕ นั่งเรือกรรเชียงไปเที่ยวเกาะคราม

" ครูครับ วันนี้ผมจะพานักเรียนซ้อมตีกรรเชียงไปเกาะคราม ไปด้วยกันไหมครับ ? "   
           เสียงครูการเรือท่านหนึ่งเดินมาบอกชวนที่หน้าบ้าน  เช้าวันนี้เป็นวันหยุดราชการกลางสัปดาห์ที่ครูแก้วไม่ได้กลับบ้านกรุงเทพฯ  รุ่นพี่ครูภาษาที่อยู่บ้านเดียวกันกับครูแก้ว เลยตกลงรับคำชวนนั่งเรือไปเที่ยวเกาะคราม (จริงๆ คือ เกาะครามใหญ่ แต่เรานิยมเรียกสั้นๆว่า “เกาะคราม”)
           เรานัดแนะกันไปลงเรือที่  “ปลายแหลม”  ปลายแหลมนี้เป็นคลังการเรือ มีสะพานเทียบเรือ  จอดเรือ และเป็นที่เรียนการเรือต่างๆของนักเรียนจ่า ในคลังมีเรือหลายชนิด ตั้งแต่เรือที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เรือท้องกระจกสำหรับดูปลาและปะการัง  สำหรับเรือที่เราจะนั่งไปนี้เรียกว่า "เรือโถง" เป็นเรือที่ไม่มีเครื่องยนต์ ใช้แรงกรรเชียงของนักเรียนจ่าที่นั่งเป็นคู่ๆ ๔ คู่ และมีนายท้ายนั่งท้ายเรือ เพื่อบังคับหางเสือให้ไปในทิศที่ต้องการ  การไปครั้งนี้ไปกัน ๒ ลำ พี่ครูภาษา กับครูแก้วแยกกันไปนั่งคนละลำ  ครูได้รับเกียรติให้นั่งหัวเรือ หันหน้าไปทางท้ายเรือ  กับนักเรียนที่เป็นนักกรรเชียงไว้เปลี่ยนกับเพื่อน  คอยให้กำลังใจนักเรียนในการตีกรรเชียงตลอดการเดินทาง 
          การตีกรรเชียงเรือนี้ นักเรียนที่ตีกรรเชียงจะนั่งเป็นคู่ และให้จังหวะตีกรรเชียงไปพร้อมๆกัน ช่วงที่เรืออยู่ในอ่าวเกล็ดแก้วนี้ คลื่นลมยังไม่แรง นักเรียนจึงยังไม่ต้องออกแรงมาก แต่พอช่วงที่เรือกำลังจะพ้นปากอ่าวเกล็ดแก้วจะมีคลื่นแรง  นักเรียนต้องออกแรงมากและพร้อมเพรียงกัน การพายทวนกระแสน้ำก็ใช้แรงและเวลามากกว่าพายตามกระแสน้ำ  นักเรียนที่ฝึกกรรเชียงนี้แข็งแรงมาก จะยกตัวเพื่อออกแรงกรรเชียง  ใบพายที่กินน้ำจะรับแรงต้านมาก จนบางครั้งใบพายหัก  ครั้งที่ไปนี้ก็มีช่วงหนึ่งน้ำแรงมากจนใบพายหัก ต้องนำใบพายสำรองที่ติดไปกับเรือออกมาใช้
          นักเรียนที่ตีกรรเชียงทนนี้ จะพันมือด้วยผ้า การจับใบพายตีกรรเชียงออกแรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มือแตก ก้นแตกได้ กางเกงผ้าเองก็ขาดที่ก้นเพราะรับแรงเสียดสีกับที่นั่งขณะยกตัวขึ้นลงในการออกแรงตีกรรเชียง การฝึกนี้นักเรียนจึงมีความแกร่งและอดทนมากต่อคลื่นลมความเหนื่อยและร้อนของแสงแดด เนื่องจากเรือไม่มีหลังคา  สิ่งที่ได้นอกเหนือจากความแข็งแรงอดทนแล้ว นักเรียนที่ยังได้เรียนรู้ในเรื่องความรักความสามัคคี การร่วมแรงร่วมใจกันในการพาเรือไปสู่จุดหมาย
          เช้าวันนี้ นักเรียนดูมีความสุข ที่จะได้ไปเกาะคราม  เกาะครามเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ห่างจาก รร.ชุมพลฯ ประมาณ ๔ – ๕ กม. มีชายหาดสวยงามมากเป็นเขตทหารเรือที่หวงห้าม  เป็นเกาะสำคัญที่อนุรักษ์ไว้ให้เต่าทะเลขึ้นมาไข่ ก่อนจะนำไปเลี้ยงแล้วปล่อยลงทะเล ในวันที่จะไปนี้ ครูการเรือได้แจ้งขอขึ้นเกาะไว้กับผู้ดูแลเกาะล่วงหน้า ครูการเรือเล่าว่า ถ้ามีเรือประมงหรือเรืออะไรก็ตามแล่นเข้ามาใกล้เกาะ เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเกาะจะยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ไม่ให้เข้ามาในเขตเกาะ
          เกาะครามที่เราจะไปนี้อยู่ไม่ไกล แต่กว่าเราจะไปถึงเกาะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เพราะเราไม่ได้เดินทางด้วยเรือยนต์ แต่เดินทางแล่นเรือไปในทะเลด้วยแรงคนล้วนๆ นักเรียนดูจะภาคภูมิใจมากที่กรรเชียงเรือมาถึงเกาะครามได้ด้วยแรงตนเอง  เมื่อขึ้นเกาะแล้ว ต่างก็นำอาหารกลางวันที่เตรียมไปมารับประทานด้วยกัน  พักผ่อนตามลำพัง งีบหลับเอาแรงบ้าง เดินเล่นชายหาดบ้าง  หาดทรายที่นี่เม็ดทรายละเอียด สีขาวสะอาด ทอดยาว ตัดกับท้องทะเลสีคราม และท้องฟ้าสีฟ้าสดใส  และอีกเช่นกันที่ไม่มีนักท่องเที่ยวที่ไหน มีแต่พวกเราไม่กี่คน จึงราวกับเราได้มาเที่ยวบนเกาะส่วนตัวเลยก็ว่าได้
          วันนี้จึงเป็นอีกวันที่ครูแก้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาเที่ยวเกาะคราม ที่สำคัญการมาไม่ได้มาเรือยนต์ทั่วไป แต่ได้มาด้วยการตีกรรเชียงของนักเรียนจ่า  ลูกศิษย์ทหารเรือที่ตัวดำ มีแต่เหงื่อไคล เพราะตากแดด จากการฝึก  แต่แม้ว่าเขาจะเหนื่อยจากการฝึกหนัก แต่เขาก็มีความสดใส ใสซื่อของวัยรุ่นที่น่ารักในตัวเอง 
          ความสุขของครูที่ได้สอนนักเรียนทหาร คือ ได้เห็นรอยยิ้มของนักเรียน ได้รับฟังนักเรียนเล่าโน่นนี่ บ่นโน่นนี่ตามประสา ให้เขาได้ผ่อนคลาย เหมือนที่ผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า กองนักเรียนมีหน้าที่ "ขู่" หรือดูแลให้นักเรียนเป็นทหารที่เข้มแข็งทั้งกายและใจ  ส่วนกองศึกษา มีหน้าที่ "ปลอบ" คือ สอนวิชาการ ดูแล พูดคุย รับฟังนักเรียนยามที่เข้ามาหลบร้อนเรียนในห้องเรียน เหมือนให้เขาได้พักร่างกายที่เหนื่อยล้ามาจากการฝึกต่างๆ นี่จึงเป็นความรักความผูกพันที่ครูมีต่อลูกศิษย์ตัวดำๆ ในรั้วโรงเรียนชุมพลทหารเรือ แห่งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น