เสียงครูการเรือท่านหนึ่งเดินมาบอกชวนที่หน้าบ้าน เช้าวันนี้เป็นวันหยุดราชการกลางสัปดาห์ที่ครูแก้วไม่ได้กลับบ้านกรุงเทพฯ รุ่นพี่ครูภาษาที่อยู่บ้านเดียวกันกับครูแก้ว เลยตกลงรับคำชวนนั่งเรือไปเที่ยวเกาะคราม (จริงๆ คือ เกาะครามใหญ่ แต่เรานิยมเรียกสั้นๆว่า “เกาะคราม”)
เรานัดแนะกันไปลงเรือที่ “ปลายแหลม” ปลายแหลมนี้เป็นคลังการเรือ มีสะพานเทียบเรือ จอดเรือ และเป็นที่เรียนการเรือต่างๆของนักเรียนจ่า ในคลังมีเรือหลายชนิด ตั้งแต่เรือที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เรือท้องกระจกสำหรับดูปลาและปะการัง สำหรับเรือที่เราจะนั่งไปนี้เรียกว่า "เรือโถง" เป็นเรือที่ไม่มีเครื่องยนต์ ใช้แรงกรรเชียงของนักเรียนจ่าที่นั่งเป็นคู่ๆ ๔ คู่ และมีนายท้ายนั่งท้ายเรือ เพื่อบังคับหางเสือให้ไปในทิศที่ต้องการ การไปครั้งนี้ไปกัน ๒ ลำ พี่ครูภาษา กับครูแก้วแยกกันไปนั่งคนละลำ ครูได้รับเกียรติให้นั่งหัวเรือ หันหน้าไปทางท้ายเรือ กับนักเรียนที่เป็นนักกรรเชียงไว้เปลี่ยนกับเพื่อน คอยให้กำลังใจนักเรียนในการตีกรรเชียงตลอดการเดินทาง
การตีกรรเชียงเรือนี้
นักเรียนที่ตีกรรเชียงจะนั่งเป็นคู่ และให้จังหวะตีกรรเชียงไปพร้อมๆกัน
ช่วงที่เรืออยู่ในอ่าวเกล็ดแก้วนี้ คลื่นลมยังไม่แรง นักเรียนจึงยังไม่ต้องออกแรงมาก
แต่พอช่วงที่เรือกำลังจะพ้นปากอ่าวเกล็ดแก้วจะมีคลื่นแรง นักเรียนต้องออกแรงมากและพร้อมเพรียงกัน
การพายทวนกระแสน้ำก็ใช้แรงและเวลามากกว่าพายตามกระแสน้ำ นักเรียนที่ฝึกกรรเชียงนี้แข็งแรงมาก
จะยกตัวเพื่อออกแรงกรรเชียง ใบพายที่กินน้ำจะรับแรงต้านมาก
จนบางครั้งใบพายหัก ครั้งที่ไปนี้ก็มีช่วงหนึ่งน้ำแรงมากจนใบพายหัก
ต้องนำใบพายสำรองที่ติดไปกับเรือออกมาใช้
นักเรียนที่ตีกรรเชียงทนนี้
จะพันมือด้วยผ้า การจับใบพายตีกรรเชียงออกแรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้มือแตก ก้นแตกได้
กางเกงผ้าเองก็ขาดที่ก้นเพราะรับแรงเสียดสีกับที่นั่งขณะยกตัวขึ้นลงในการออกแรงตีกรรเชียง
การฝึกนี้นักเรียนจึงมีความแกร่งและอดทนมากต่อคลื่นลมความเหนื่อยและร้อนของแสงแดด
เนื่องจากเรือไม่มีหลังคา สิ่งที่ได้นอกเหนือจากความแข็งแรงอดทนแล้ว
นักเรียนที่ยังได้เรียนรู้ในเรื่องความรักความสามัคคี
การร่วมแรงร่วมใจกันในการพาเรือไปสู่จุดหมาย
เช้าวันนี้ นักเรียนดูมีความสุข
ที่จะได้ไปเกาะคราม เกาะครามเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่ห่างจาก
รร.ชุมพลฯ ประมาณ ๔ – ๕ กม. มีชายหาดสวยงามมากเป็นเขตทหารเรือที่หวงห้าม เป็นเกาะสำคัญที่อนุรักษ์ไว้ให้เต่าทะเลขึ้นมาไข่
ก่อนจะนำไปเลี้ยงแล้วปล่อยลงทะเล ในวันที่จะไปนี้
ครูการเรือได้แจ้งขอขึ้นเกาะไว้กับผู้ดูแลเกาะล่วงหน้า ครูการเรือเล่าว่า
ถ้ามีเรือประมงหรือเรืออะไรก็ตามแล่นเข้ามาใกล้เกาะ
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเกาะจะยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ไม่ให้เข้ามาในเขตเกาะ
เกาะครามที่เราจะไปนี้อยู่ไม่ไกล
แต่กว่าเราจะไปถึงเกาะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
เพราะเราไม่ได้เดินทางด้วยเรือยนต์ แต่เดินทางแล่นเรือไปในทะเลด้วยแรงคนล้วนๆ
นักเรียนดูจะภาคภูมิใจมากที่กรรเชียงเรือมาถึงเกาะครามได้ด้วยแรงตนเอง เมื่อขึ้นเกาะแล้ว ต่างก็นำอาหารกลางวันที่เตรียมไปมารับประทานด้วยกัน
พักผ่อนตามลำพัง งีบหลับเอาแรงบ้าง เดินเล่นชายหาดบ้าง
หาดทรายที่นี่เม็ดทรายละเอียด สีขาวสะอาด
ทอดยาว ตัดกับท้องทะเลสีคราม และท้องฟ้าสีฟ้าสดใส และอีกเช่นกันที่ไม่มีนักท่องเที่ยวที่ไหน
มีแต่พวกเราไม่กี่คน จึงราวกับเราได้มาเที่ยวบนเกาะส่วนตัวเลยก็ว่าได้
วันนี้จึงเป็นอีกวันที่ครูแก้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาเที่ยวเกาะคราม
ที่สำคัญการมาไม่ได้มาเรือยนต์ทั่วไป แต่ได้มาด้วยการตีกรรเชียงของนักเรียนจ่า ลูกศิษย์ทหารเรือที่ตัวดำ มีแต่เหงื่อไคล เพราะตากแดด จากการฝึก แต่แม้ว่าเขาจะเหนื่อยจากการฝึกหนัก
แต่เขาก็มีความสดใส ใสซื่อของวัยรุ่นที่น่ารักในตัวเอง
ความสุขของครูที่ได้สอนนักเรียนทหาร
คือ ได้เห็นรอยยิ้มของนักเรียน ได้รับฟังนักเรียนเล่าโน่นนี่ บ่นโน่นนี่ตามประสา
ให้เขาได้ผ่อนคลาย เหมือนที่ผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
กองนักเรียนมีหน้าที่ "ขู่"
หรือดูแลให้นักเรียนเป็นทหารที่เข้มแข็งทั้งกายและใจ ส่วนกองศึกษา มีหน้าที่ "ปลอบ"
คือ สอนวิชาการ ดูแล พูดคุย รับฟังนักเรียนยามที่เข้ามาหลบร้อนเรียนในห้องเรียน
เหมือนให้เขาได้พักร่างกายที่เหนื่อยล้ามาจากการฝึกต่างๆ
นี่จึงเป็นความรักความผูกพันที่ครูมีต่อลูกศิษย์ตัวดำๆ
ในรั้วโรงเรียนชุมพลทหารเรือ แห่งนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น