หน้าเว็บ

6/16/2558

ตอนที่ ๓ สอนลูกศิษย์นักเรียนจ่าทหารเรือ

             พอครบเวลาสองสัปดาห์ ที่กำหนดไว้ว่าจะได้สอนนักเรียน หลังจากที่ทุกเช้าก่อนทำงานแม่แก้วต้องไปยืนแถวตากแดดพร้อมกับพี่ๆและนักเรียน ที่ลานหน้า บก.  ในเวลา ๐๘๓๐  โดยนักเรียนมาแถวก่อนข้าราชการตั้งแต่เวลา ๐๘๐๐  เป็นทหารที่นี่ ในช่วงนั้นต้องแถวทุกเช้าก่อนเริ่มทำงาน  แสงแดดที่สัตหีบแรงมาก  เล่นเอาคนตัวขาวอย่างแม่แก้วดำขึ้นกับเขาได้เหมือนกัน อาศัยว่าตอนนั้นยังเด็ก อาวุโสน้อย เลยได้ยืนแถวอยู่หลังๆพี่ที่อาวุโสกว่า พี่ที่ยืนแถวข้างหน้าถ้าตัวโตหน่อยจะบังแดดได้อย่างดี ถ้ามีเรื่องประกาศหน้าแถวน้อยก็แถวเลิกเร็ว แต่ถ้าวันไหนมีเรื่องชี้แจงมากก็แถวตากแดดร้อนนานหน่อย เรื่องแถวนานนี่ ช่วงแม่แก้วทำงานอยู่เคยมีคนยืนแถวนานจนเป็นลมหงายหลังตึง หรือแถวไม่ไหวสองสามครั้ง  โชคดีที่คนที่ยืนแถวข้างหลังรับไว้ทันก่อนที่หัวจะฟาดพื้น ส่วนนักเรียนจ่าน่าจะได้รับการฝึกมาอย่างดี เพราะแข็งแรงและอดทนมาก เท่าที่สังเกตดู แม่แก้วไม่เคยเห็นนักเรียนเป็นลมเวลาแถวสักที
             ช่วงนั้น ห้องเรียนของนักเรียนจะกระจายอยู่ตามที่พักของนักเรียน เรียกว่า นอนชั้นบน เรียนกันชั้นล่างนั่นเอง  ที่พักนี้อยู่บนเนินเขา เรียกว่า กราบซ้าย กราบขวา เรียกเหมือนบนเรือเลย กราบซ้าย กราบขวา จะแบ่งเป็นอาคารภาคต่างๆ ตั้งแต่ภาค ๑  - ๖ เป็นที่พักของนักเรียน ห้องเรียนนี้อยู่ห่างที่ทำงานสักครึ่ง กม. และอยู่บนเนินเขา หากจะเดินไปสอนก็ไกลไป พี่ๆจึงมีรถมอเตอร์ไซด์ไว้ใช้กันเกือบทุกนาย  การขึ้นเขาไปสอนครั้งแรกนี้ ได้รับความเอื้อเฟื้อจากพ่อบุญขับรถมอเตอร์ไซด์ไปรับส่งที่ห้องเรียน พ่อบุญเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สอนวิชาเดียวกัน มาทำงานก่อนแม่แก้ว ๑ ปี ตอนนั้นพ่อบุญคงดีใจที่มีคนมาช่วยแบ่งเบาชั่วโมงสอนแล้ว
             นักเรียนจ่าทหารเรือ เดิมรับจากนักเรียนที่จบมัธยมต้น (ม.๓) ต่อมาเปลี่ยนเป็นรับจากนักเรียนที่จบชั้นมัธยมปลาย (ม.๖) มาเรียนวิชาต่างๆที่เกี่ยวกับวิชาชีพทหารเรือ ๒ ปี เรียนจบแล้วจะติดยศ จ่าตรี และถูกส่งไปทำงานตามหน่วยต่างๆในกองทัพเรือ  แม่แก้วไปทำงานช่วงรอยต่อนี้พอดี จึงมีลูกศิษย์ที่จบ ม.๓ เป็นชั้น ๒ กับ จบ ม.๖ เป็นชั้น ๑ 
             นักเรียนจ่า (ต่อไปขอเรียกว่า “นักเรียน”) ดูจะตื่นเต้นกับการมาสอนครั้งแรกของแม่แก้ว คุณครูคนใหม่  ด้วยวัยที่ใกล้เคียงกัน ครูกับนักเรียนจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว  นักเรียนทั้งสองชั้นมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ  นักเรียน ชั้น ๑ จะเรียบร้อย ไม่มีพิษสง ไม่หือ ไม่อือ  ดูโทรม หมดเรี่ยวหมดแรง หมดสภาพ และมอมแมมกว่านักเรียนจ่าชั้น ๒ รุ่นพี่ชั้น ๒ นี้ช่างพูดคุยต่อปากต่อคำกับครูมากกว่า เนื้อตัวมอมแมมน้อยกว่า ทั้งนี้เพราะว่ามีระบบอาวุโส ที่น้องจะต้องทำโน่นนี่ให้พี่ และเชื่อฟังคำสั่งของรุ่นพี่   พอแม่แก้วไปสอนได้สักสองสามครั้ง  ลูกศิษย์ตัวโตที่คอยช่วยลุ้นว่าแม่แก้วจะสอนไปรอดหรือไม่ในชั่วโมงแรกๆ  ได้บอกให้กำลังใจว่า "ครูครับ ผมว่าครูสอนเก่งแล้วครับ"  (ค่อยยังชั่ว)
             การสอนนักเรียนทหารนี้ จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่เป็นเช่นนี้เพราะนักเรียนตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง มีชีวิตที่เร่งรีบ ทำอะไรก็ต้องเร็วๆ รีบวิ่งลงมารวมแถวที่ลานหน้า บก.  ไปออกกำลังกาย วิ่งบ้าง เล่นกีฬาบ้าง เรียนพลศึกษาบ้าง จากนั้นก็กินข้าว อาบน้ำ ทำความสะอาดที่พัก จัดที่หลับที่นอน แล้วรีบลงมาแถวรับธงที่ลานหน้า บก. ตอน ๐๘๐๐  โดนทำโทษบ้าง ฟังสั่งสอน ฟังชี้แจงบ้าง พอ ๐๘๓๐ ข้าราชการก็ลงมาแถวด้วย  หลังจากนั้นก็ฟังชี้แจงบ้าง ถูกทำโทษบ้างกว่าจะได้เข้าห้องเรียนก็ประมาณ ๐๙๐๐ (แค่เขียนเล่า ยังรู้สึกเหนื่อยแทนนักเรียนเลย)
             ความง่าย จึงอยู่ที่ว่า กว่านักเรียนจะได้เข้าห้องเรียน  ก็หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีพิษสง ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่เกเร เหมือนเด็กวัยรุ่นชายในโรงเรียนทั่วไป (เรียกว่า หือไม่ขึ้น เสร็จเราแน่)  ส่วนความยากก็อยู่ที่ว่า จะสอนอย่างไรไม่ให้นักเรียนหลับ และสอนอย่างไรให้นักเรียนที่หมดสภาพมาแบบนี้ให้ได้รับความรู้เข้าไปในสมอง (ครูมักคุยกันขำๆว่า สมองของนักเรียนได้ถูกเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อไปหมดแล้ว)
             ครูทหารจึงมีกลเม็ดเด็ดพรายมากมายในการที่จะเรียกร้องความสนใจจากนักเรียน ทั้งหาเรื่อเล่าตลก ทั้งชวนคุย สอดแทรกในการสอน ถามเรื่องที่วัยรุ่นชอบ เช่น เรื่องแฟน เรื่องกุ๊กกิ๊กตามประสาวัยรุ่น รวมถึงแอบสอดแทรกสอนการใช้ชีวิต คุณธรรมจริยธรรมต่างๆ แบบสบายๆ ไม่ให้รู้ตัว บางทีก็น่าเจ็บใจมากที่พอครูเล่าเรื่องขำๆก็ตื่นมาหัวเราะสักหน่อย  พอครูสอนเห็นว่าตื่นก็วกเข้าเรื่องวิชาการต่อ  นักเรียนที่ตื่นแล้วก็ฟุบกับโต๊ะหลับต่อ 
             การสอนนักเรียนทหารนี้จึงท้าทายมาก เพราะสอนไปปลุกลูกศิษย์ไป  ทำโทษให้ยืนเรียนบ้าง ให้ดูว่าเพื่อนคนไหนหลับ บอกครูให้เพื่อนที่หลับยืนต่อ เทคนิคอีกอันคือ ถ้าสอนสองชั่วโมงรวดก็ต้องตกลงกันก่อนว่า ให้ตั้งใจเรียนแล้วครูจะเลิกเร็วหน่อย ให้พักนอนได้สัก ๑๐ - ๒๐ นาทีก็ยังดี สถิติการหลับในห้องของนักเรียนที่แม่แก้วยอมรับได้ คือ เฉลี่ยไม่เกิน ๕ ๖ นาย ถ้ามากกว่านี้ถือว่า ฝีมือสอนตกต่ำ แต่ก็มีเหมือนกันที่โดนรับประทานมาหนัก (สแลงศัพท์ทหารเรียกถูกการทำโทษว่าว่า "โดนแดก") อันนี้ถือว่าเหนือการควบคุม เพราะหมดสภาพ ไม่ว่าจะปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่น
             แต่เอาเถอะเมื่อมาคิดๆดูแล้ว ชีวิตนักเรียนจ่านี่อยู่ในกรอบ ถูกบังคับจิตใจมาทั้งวันทั้งคืน ช่วงเวลาที่ได้เรียนในห้องเรียนจึงเป็นช่วงที่ได้นั่งนิ่งๆ และผ่อนคลายสุดๆของเขา ครูจึงมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของนักเรียน  ถ้าวันไหนนักเรียนถูกกองนักเรียนรับประทานมาหนัก จนหมดสภาพที่จะเรียน วันนั้นพวกครูจะรู้สึกไม่ชอบหน้านายทหารฝึกมากเป็นพิเศษ
             แม่แก้วจึงเชื่อว่า ถ้าประกวดครูที่สอนเก่งที่สุด ครูทหารก็น่าจะเข้าข่ายได้เป็นครูที่สอนเก่งที่สุด หรืออย่างน้อยก็ติดอันดับต้นๆ เพราะต้องใส่ความรู้ทางวิชาการให้นักเรียนทหารที่อ่อนเปลี้ยมาจากการฝึกหนักและการเล่นกีฬาให้ได้ การสรุปเรื่องและประเด็นสำคัญโดยเฉพาะเวลาใกล้สอบ จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากในการสอนนักเรียนทหาร เพื่อให้เขาเข้าใจ ได้รับความรู้ และสอบผ่านขึ้นชั้นใหม่ได้
             สำหรับนักเรียนจ่าทหารเรือนี้ มีสิ่งที่แตกต่างมากจากนักเรียนพลเรือน คือ กลิ่นเหงื่อกลิ่นตัวจะแรงมาก  (แม่แก้วให้ฉายาว่า "กลิ่นอมตะ") โดยเฉพาะตอนแถวรวมกันหลายร้อยนายบนลานหน้า บก. ตอนนั้นจำได้ว่ามีนักเรียนประมาณ ๗๐๐ กว่านาย ในห้องเรียนก็เช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนักเรียนแถวตากแดด  ถูกทำโทษบ้าง  ออกกำลังกายบ้าง ไปไหนมาไหนใน รร. ก็เดินแถวไป เวลามาอยู่รวมกันจึงมีไอตัวร้อน  กลิ่นเหงื่อไคล และกลิ่นตัวแรงมาก
             สำหรับแม่แก้วแล้ว ลูกศิษย์ตัวดำ ตัวเหม็นเหงื่อนี้ น่ารักที่สุด เพราะจะช่วยถือของให้ ถือสมุดส่งงานมาส่งครูที่ห้องพักครู  รร.ชุมพลฯนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก (ด้านที่ติดทะเล คือ พื้นที่อ่าวเกล็ดแก้วทั้งอ่าว ด้านที่ติดเขาก็อยู่หลังเขาทั้งลูกที่ทอดยาวตลอดอ่าว) ด้วยความกว้างใหญ่นี้ ทำให้ สถานที่แต่ละแห่งใน รร.ชุมพลฯ อยู่ห่างกันมากเป็นหลักครึ่งกิโลบ้าง เป็นกิโลบ้าง เวลานักเรียนจะไปไหนมาไหนต้องเดินเท้าไป ถ้ารีบหน่อยก็วิ่งไป การดูแลครูเช่นนี้ จึงถือว่านักเรียนมีน้ำใจเสียสละ ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยและเวลาว่างอันน้อยนิดของตนเอง  เรื่องนี้ต้องชมกองนักเรียนที่ปลูกฝังนักเรียนให้เข้มแข็ง และอ่อนโยน สอนให้นักเรียนเป็นสุภาพบุรุษทหารเรืออย่างดี
             นักเรียนจ่าของแม่แก้ว เรียนจบแล้วแยกย้ายไปทำงานเติบโตตามหน่วยต่างๆ ในกองทัพเรือ  ครูเองก็เช่นกันที่ต้องย้ายเพื่อการเติบโตในหน้าที่การงานตามสายวิทยาการของตนเอง  เวลาเจอกันก็ทักทายกัน ครูจำนักเรียนไม่ได้ทุกคน แต่นักเรียนจำครูได้เสมอ บางนายได้มาร่วมงานกัน เป็นลูกน้องในที่ทำงาน  บางนายขยันไฝ่หาความรู้โดยไปเรียนระดับปริญญา แล้วใช้วุฒิการศึกษาสอบเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง บางนายได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตในหน่วยงานภายนอกกองทัพเรือ  มีหลายนายได้ดิบได้ดีเป็นปลัด อบต.  ที่ครูจำไม่ได้  ไปติดต่องาน เข้าพบไหว้สวัสดีไปแล้ว  ถึงกับแอบมากระซิบกระซาบบอกแม่แก้วที่ข้างรถว่า
             "ครูครับ อย่าไหว้ผม ผมเป็นลูกศิษย์ครูครับ"  
              หรืออีกคราวที่แม่แก้วไปทำงานด้านการฝึก  ได้ข้ามไปดูการฝึกบนเกาะพระ แล้วหิวน้ำมาก ลูกศิษย์ที่เป็นจ่าแล้วไปดูการฝึกด้วยกัน  เดินตามหลังมาแอบได้ยินเข้า  เลยไปซื้อน้ำดื่มเย็นๆมาให้ครูดื่ม  ลูกศิษย์นักเรียนจ่าเหล่านี้ไม่เคยลืมครู มีความกตัญญู และจะทักทายครูด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ  นี่เองเป็นความผูกพันที่สวยงามระหว่างครูกับนักเรียน @ เกล็ดแก้ว เมืองหลังเขาที่สวยงามแห่งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น