การเตรียมข้าวของในการไปฝึกสมัยนั้น ใช้เสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาว กางเกงวอร์มสีดำ มีผ้าพันเอวสีดำ ส่วนรองเท้าใช้รองเท้าผ้าใบสีขาว สักสามชุด รวมถึงชั้นใน และถุงเท้า พอให้ซักเปลี่ยนแห้งทัน กับพวกของใช้ส่วนตัวพวกสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ผ้าขนหนู และผ้านุ่งอาบน้ำ ฯลฯ
เพื่อนข้าราชการกลาโหมพลเรือนในรุ่นเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพราะผู้ชายที่บรรจุรุ่นเดียวกันส่วนใหญ่เรียน รด. มาแล้ว จะติดยศได้เลย เพื่อนๆมาจากหลากหลายสาขาอาชีพมาก ตั้งแต่คุณหมอ หมอฟัน เภสัชกร สถาปนิก วิศวกร การเงิน ครู บรรณารักษ์ สารบรรณ ดุริยางค์ และช่างเขียน ฯลฯ พอฝึกเสร็จติดยศ แม่แก้วจึงมีเพื่อนที่มีบ่าเกือบครบทุกสีเป็นเพื่อน
การฝึกทหารของข้าราชการกลาโหมพลเรือนนี้ เป็นหลักสูตรระยะสั้น หรืออาจจะเรียกได้ว่าหลักสูตรเร่งรัดก็ว่าได้ ที่สอนให้เราเรียนรู้ระเบียบวินัย การปฏิบัติตัว การวางตัวของทหาร(โดยเฉพาะทหารหญิง) ขนบธรรมเนียมประเพณีทหารเรือ ร้องเพลงของทหารเรือ การทำความเคารพ การแถว การฝึกอาวุธ ฝึกยิงปืน และการสวนสนาม เมื่อฝึกเสร็จแล้วเราจะมีลักษณะท่าทางที่เป็นทหาร สามารถสวมใส่เครื่องแบบทหารและปฏิบัติตน วางตัวได้สง่างามเหมาะสมกับเครื่องแบบทหารที่สวมใส่
สำหรับแม่แก้วนั้ ถูกพี่ๆขู่ไว้ว่า ให้ออกกำลังกายเตรียมตัวฝึกทหาร ตั้งแต่วันแรกๆที่ไปทำงาน เพราะตอนนั้นแม่แก้วตัวผอมสูง แขนขาเล็ก ดูเก้งก้าง เก้เก้กังๆ ไม่ค่อยจะมีเนื้อมีหนังเหมือนในปัจจุบัน ไม่น่าจะมีแรงฝึกทหาร และดูไม่มีคุณลักษณะความเป็นทหารเอาเสียเลย แต่เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ถ้าไม่ผ่านการฝึกนี้เขาก็ไม่ให้ติดยศ ทุกคนในรุ่นจึงต้องมาเข้ารับการฝึก
ชีวิตในตอนสอนนักเรียนแล้วได้กลับบ้านทุกวันศุกร์ กลับลำเค็ญมากขึ้นอีก เพราะช่วงฝึกหนึ่งเดือนครึ่งนี้เขาไม่ให้กลับบ้านในช่วงแรกๆ ได้ปล่อยกลับบ้านครั้งเดียวในช่วงท้ายของหลักสูตร แถมยังให้ตื่นตั้งแต่ตีห้ามาออกกำลังกาย ฝึกทหาร ทำโน่นนี่ทั้งวัน กว่าจะได้นอนอีกครั้งก็สามทุ่ม ทำให้ซาบซึ้งและเข้าใจชีวิตของนักเรียนทหารมาก
บ้านใหม่ หรือที่พักของเราเป็นกองร้อยของพลทหารใน รร.พลทหาร นั่นเอง กองร้อยนี้ คือ อาคารที่พักขนาดใหญ่ ชั้นล่างเป็นห้องทำงานของ ผบ.ร้อย และข้าราชการในกองร้อย มีห้องพักผ่อน ที่มีม้านั่งยาวให้ดูทีวีจอตู้ มีน้ำหวานและขนมขาย ด้านหน้าอาคารมีเก้าอี้ม้ายาวๆไว้รวมตัวกันทำกิจกรรมต่างๆ ฟังอบรม ชี้แจง และหัดร้องเพลงทหารเรือ ฯลฯ
ด้านหลังกองร้อยเป็นห้องน้ำแบบโรงเรียนทหารทั่วไป คือ ห้องอาบน้ำรวม มีอ่างปูนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มาก สูงเท่าเอวสำหรับขังน้ำไว้อาบ อ่างปูนนี้ตั้งอยู่เด่นเป็นสง่ากลางห้อง ไว้ให้พวกเราที่ใส่ผ้าถุงยืนล้อมวงกันเอาขันตักน้ำอาบ (อย่างรีบๆและทุลักทุเล เนื่องจากไม่คุ้นกับการอาบน้ำรวม) ในตอนเย็นหลังฝึกเสร็จแล้ว
ด้านหลังจากห้องอาบน้ำ เป็นห้องส้วมแบบนั่งยองหลายห้องเรียงเป็นแถว ด้านนอกห้องน้ำมีลานตากผ้ากลางแจ้ง ที่สาวๆกว่าร้อยชีวิตต้องตากผ้าด้วยกัน ที่ตากจึงไม่ค่อยพอ หนำซ้ำบางครั้งฝนตก ผ้าเปียกเสียอีก เรียกว่าทุลักทุเลหน่อย แต่ก็สนุกไปอีกแบบ
อาคารกองร้อยชั้นบนเป็นที่พักของเหล่านักเรียนทหารหญิง มีเตียงที่จัดเรียงเป็นแถวยาว ทุกเตียงมีที่นอน หมอน มุ้ง ผู้ปูเตียง ปลอกหมอนสีขาว มุ้งสีเขียวทหาร เราถูกจัดให้นอนคนละเตียง ใครนอนติดใคร ก็จะนอนคุยกันบ่อยๆ ปรึกษาปัญหาหัวใจบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง จึงสนิทสนมกันเป็นพิเศษ
เรื่องการนอนนี้
วันแรกๆแม่แก้วใส่ชุดนอน แต่พอตอนนกหวีดปลุก
(เสียงปลุกของนกหวีดแหลมๆนี้ทำร้ายจิตใจมากในยามเช้ามืด) มัวมาเปลี่ยนชุดเป็นชุดฝึกไม่ทัน
วันต่อๆมาเลยเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นใส่ชุดฝึกนอนเลย
นกหวีดปลุกก็สวมถุงเท้ารองเท้าวิ่งลงมารวมแถวได้ทัน
เพื่อนบางคนก็ใช้วิธีแอบตื่นก่อนเวลามาทำธุระส่วนตัว (ช่างขยันจริงๆ)
สำหรับแม่แก้วแล้ว ขอนอนจนนาทีสุดท้ายจนถึงเวลานกหวีดปลุกดีกว่า
การตื่นแต่เช้ามืดนี้
ลำเค็ญมากสำหรับแม่แก้วและเพื่อนร่วมรุ่น ด้วยว่าหลังเสียงนกหวีดปลุก แตรปลุก
ตั้งแต่ตี ๕ ต้องรีบวิ่งลงมาจากที่นอนชั้นสอง มาล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำชั้นล่าง
ที่อยู่ไกลกันมาก แล้ววิ่งลงมาแถวรวมหน้ากองร้อยในเวลา ๕ - ๑๐ นาที (อะไรมันจะรีบร้อนขนาดนั้น)
เรื่องการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำยามเช้าไม่ต้องพูดถึง
เพราะเวลาไม่พอ เล่นเอาแม่แก้วซึ่งปรับตัวไม่ทันท้องผูกไปประมาณ ๕ วัน
สำหรับการดูแลระเบียบวินัย ที่พัก และการเจ็บไข้ได้ป่วยของกองร้อยหญิงนี้
ทางกองอำนวยการฝึกได้จัดพี่ๆนายทหารหญิงที่เป็นคุณครูใน รร.ชุมพลฯ
มาดูแลความเป็นอยู่ของพวกเราอย่างใกล้ชิด
ความที่หลักสูตรนี้เป็นแหล่งรวมสาวๆที่เรียนจบมาใหม่ๆ
จึงเป็นหลักสูตรที่มีสีสันมาก ในช่วงฝึกวิ่งตอนเช้ามืดหลังตื่นนอน
วันแรกๆของการฝึก ตอนเริ่มวิ่งใหม่ๆ
พวกเราจะตั้งใจวิ่งเป็นแถวและร้องเพลงกันเสียงดังเจื้อยแจ้วในช่วงแรกๆ
สักพักพอไม่กี่ร้อยเมตรต่อมา แถวที่เคยวิ่งเป็นระเบียบ เท้าพร้อมสวยงาม
ก็จะค่อยๆเลื้อยๆ ย้วยๆ พะเยิบพะยาบ คนในแถวก็ค่อยๆหลุดออกจากแถวทีละคนสองคน
ขอให้ลองนึกภาพของเส้นของแถวที่ตอนแรกเป็นเส้นตรง สักสี่ห้าเส้น
ใหม่ๆเส้นนี้มันตรงและเสมอกันมาก เพราะคนในแถววิ่งกันอย่างแข็งแรง เท้าพร้อม
แต่สักพักพอหมดแรง ไอ้แถวเส้นๆนี้มันก็มีคนหลุดแถว วิ่งช้าลง ห้อยไปอยู่หลังแถว
ส่วนคนในแถวที่ยังวิ่งอยู่ก็เริ่มแรงตก เท้าไม่พร้อม แถวมันจึงดูหลุดๆลุ่ยๆ
สะเงาะสะแงะ (จะไปรอดไหมนี่) ส่วนครูฝึกชายของเราที่วิ่งนำแถว (ได้ข่าวว่าเขาคัดเลือกครูที่สอนเก่งๆมาสอนเราโดยเฉพาะ) คุณครูท่านเป็นคนแข็งแรงตัวสูงใหญ่ ท่านจึงวิ่งนำหน้าพวกเราอย่างดูโดดเด่นไปด้วยท่าวิ่งที่สวยงาม(ดูหล่อมากท่ามกลางสาวสวยอย่างเรา) ท่านนำร้องเพลงปลุกใจด้วยเสียงทุ้มหล่อดังๆอย่างตั้งอกตั้งใจ (พวกเราสาวๆร้องเพลงด้วยเสียงแหลมเจื้อยแจ้ว) หากว่าคุณครูของเราได้เหลียวหลังมามองพวกเราสักนิด ท่านคงได้เห็นภาพแถวข้างหลังของทหารหญิงที่น่าประทับใจนี้มาก
อย่างไรก็ตาม พวกเราก็สามารถสำเร็จการวิ่งเช้าวันแรกๆนี้ไปได้ (อย่างไม่สวยงาม) ครูฝึกของเราท่านคงไม่รู้จะทำอย่างไรกับกองร้อยทหารหญิงนี้ จะทำโทษให้ยึดพื้น ให้กลิ้งตัวแบบนักเรียนจ่า หรือพลทหาร จะทำอะไรรุนแรงไปกว่านี้ พวกเราอาจพากันป่วยหมด หรือร้องไห้งอแงขึ้นมาคงจะยุ่ง เพราะไม่รู้จะปลอบโยนอย่างไรหมด (ปกติปลอบผู้หญิงคนเดียวก็แทบแย่ แต่นี่เกือบร้อยคนน่าจะแย่กว่ามาก) แถมจะพากันหมดเรี่ยวหมดแรงไม่มีใครมาฝึกต่อด้วย
ครูฝึกจึงใช้ยุทธวิธีละมุนละม่อม ค่อยๆให้กำลังใจ ค่อยๆฝึกจนพวกเราแข็งแรง และมีระเบียบวินัยขึ้น การทำโทษก็ใช้วิธีกอดคอกันในแถว หรือทำโทษตัวเอง โดยลุกนั่งตามจำนวนครั้งที่ครูฝึกสั่ง หรือให้วิ่งรอบกองร้อยบ้างตามโอกาส พวกเราสาวๆก็ตั้งใจฝึกกันอย่างดี เพราะการมาอยู่ร่วมกันนี้ ทำให้ได้เพื่อนร่วมรุ่นและร่วมทุกข์ร่วมสุขที่รักกัน ผูกพันกันไปนานตลอดชีวิตรับราชการ
ที่เล่ามานี้ ขอท่านผู้อ่านอย่าได้ตกใจ ว่าทหารหญิงอ่อนแอ เพราะเป็นเพียงเหตุการณ์ในวันแรกๆ วันต่อๆมาพวกเราค่อยๆปรับตัว มีระเบียบวินัยขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งแข็งแรงขึ้น วิ่งได้ไกลขึ้น ช่วงหลังๆตอนใกล้ฝึกเสร็จ พวกเราวิ่งจาก รร.พลทหาร ไป หาด รร.ชุมพลฯ ซึ่งห่างออกไป ๓ - ๔ กม. (หากนับระยะทางจากกองร้อย) ไม่นับถึงการฝึกท่าบุคคลมือเปล่า ขวาหัน ซ้ายหัน กลับหลังหัน แลขวาทำ แลซ้ายทำ การเดินแถวให้เท้าพร้อม ที่แม่แก้วจำมาถึงทุกวันนี้ เพราะเราต้องพูดพร้อมกันในแถว กับเช็คเท้าที่ก้าวลงบนพื้นให้ตรงตามจังหวะที่ให้ ดังนี้
" ซ้าย ซ้าย ซ้ายขวาซ้าย....ซ้าย ซ้าย ซ้ายขวาซ้าย....นับเว้นจังหวะ...นับ...หนึ่ง สอง สาม สี่ ...หนึ่งสองสามสี่...หนึ่งสองสามสี่...ซ้าย ซ้าย ซ้าย ขวา ซ้าย"
ตอนเดินแถวไปไหนมาไหนใน รร.พลทหาร
แล้วร้องเพลงสลับกับเปล่งเสียงดังๆเช็คเท้าให้พร้อมกันนี้ มีความสุขมาก คือ “เป็นความสุขแบบร้อนๆ
มันๆ (ตัว)ดำๆ” (ตอนนี้พวกเราเริ่มบ้าพลังกันแล้ว) เพราะเดินตากแดดไปแถว ไปเรียน ไปกินข้าว ไปที่ต่างๆในโรงเรียน
ไกลเป็นกิโลๆ
คำปฏิญาณตนก่อนกินข้าวนี้
แม่แก้วจำได้แม่น เราจะปฏิญาณกันด้วยเสียงอันดังว่า "เรากินเพื่ออยู่
ต่อสู้เพื่อการศึกษา" ก่อนกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย
กิจวัตรประจำวันของกองร้อยทหารหญิงนี้คล้ายนักเรียนจ่า
แต่ที่นี่เป็นระบบของ รร.พลทหาร
จึงตื่นตีห้า นอนสามทุ่ม ตื่นนอนก็รวมแถวออกกำลังกาย วิ่งบ้าง
กายบริหารราชนาวีบ้าง กินข้าว ทำความสะอาดที่พัก เก็บที่นอนหมอนมุ้ง จัดเตียง
ดึงผ้าปูเตียงให้ตึง ไปแถวรับธง ฝึก ผึก ผึก โน่นนี่ เรียนในห้องบ้าง พอเย็นก็พัก
อาบน้ำกินข้าว ลงมารวมกันตอนค่ำ เพื่อเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับทหารเรือ
ฝึกร้องเพลงทหารเรือ แล้วปล่อยทำธุระส่วนตัว ก่อนเข้านอนประมาณสามทุ่ม
ตอนกลางคืนกองร้อยหญิงนี้มีเข้ายามด้วย
เราเข้ายามจุดละสองคน เป็นเพื่อนกัน จุดที่เข้ายามก็ในบริเวณอาคารกองร้อย
เพื่อความปลอดภัยของเรา เขาไม่ให้ไปเข้าเวรที่ไกลๆแบบนักเรียนทหารชาย
สีสันอีกอย่างของกองร้อยทหารหญิงนี้คือ
ในเวลาพักช่วงเลิกฝึกตอนเย็น และวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เป็นเวลาญาติเยี่ยมได้
ญาติของพวกเรานี้ จะมีพ่อแม่พี่น้องบ้าง
แต่ที่มาเยี่ยมบ่อยกว่ากลับไม่ใช่พ่อแม่พี่น้อง แต่เป็นญาติที่เป็นผู้ชาย
ญาติชายนี้ มีทั้งคู่ที่นับเป็นญาติกันแล้ว พวกนี้จะคุยกันกระหนุงกระหนิง
ส่วนบางคู่ที่ยังไม่ได้รับเป็นญาติ แต่อยู่ในช่วงทำคะแนน หรือช่วงโปรโมชั่น
ก็จะคุยกันแบบสงวนท่าที เหนียมอายหน่อยๆ หนุ่มๆที่มาเยี่ยมนี้ จะสรรหาของฝาก
ขนมนมเนย ผลไม้ และยาต่างๆ เช่น ยานวดคลายกล้ามเนื้อมาฝาก และมาให้กำลังใจ
ประมาณว่า เหนื่อยไหม ไหวไหมครับ เพื่อเร่งทำคะแนน
บรรยากาศในช่วงญาติหรือหนุ่มๆมาเยี่ยมนี้จึงเป็นบรรยากาศสีชมพู
ที่มีกลิ่นไอของความรัก คุยกันกระหนุงกระหนิงเป็นกลุ่มเล็กๆ
หรือเป็นคู่ตามโต๊ะม้าหินหน้ากองร้อย แม่แก้วเองก็ไม่น้อยหน้า มีพ่อบุญมาเยี่ยมและเอาของมาฝากบ่อยๆกับเขาเหมือนกัน
เหมือนพักรบมาพบรักยังไงยังงั้นเลยทีเดียว (ฮิ๊วววว...)
อ้าว...ชักจะเคลิ้มไปกันใหญ่แล้ว
กลับมาที่เรื่องฝึกทหารต่อดีกว่า การเรียนวิชาการทหารต่างๆนี้
คนที่คิดหลักสูตรช่างเก่งมาก เพราะหลักสูตรนี้ เราได้เรียนตั้งแต่หัดแถว ขวาหัน
ซ้ายหัน เดินแถว หัดตะเบ๊ะ(ทำความเคารพ) ร้องเพลง ฝึกท่าอาวุธ
ที่ครูให้ปืนมาประจำกาย แล้วสั่งให้เราแบกปืนไปไหนมาไหนด้วยทั้งวัน (ครูบอกว่า
อาวุธประจำกายเป็นสิ่งที่เราต้องมีไว้ข้างกายตลอด เพื่อป้องกันตนได้ทันท่วงที
หากมีข้าศึกจู่โจม) ฝึกเดินทางไกลในป่า
ลุยน้ำ ฝึกหมอบ ฝึกหลบลูกระเบิด ฝึกคลานศอกตัวแนบไปบนพื้นดิน (ที่พวกเราคลานไป
แอบหัวเราะคิกคักไป เพราะรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง) ฝึกหลบหนี ซ่อนตัวในป่า ตามหลังบ้านพักในเส้นทางกลับกองร้อย (เหมือนเล่นซ่อนแอบ
แต่เหนื่อยกว่า) ฝึกยิงปืนยาว ฝึกยิงเป้าปืนพก ฝึกดับเพลิง
(ที่มีเพื่อนที่กล้าหาญในรุ่นอาสาอยู่หน้าถือหัวฉีดให้) ไปดูงานบนเรือรบที่เรือออกแล่นไปในทะเลครึ่งวัน ไปนั่งรถสะเทินน้ำสะเทินบกของนาวิกโยธินที่แล่นพาเราออกไปในทะเลตรงหาดเตยงาม
รวมถึงหัดสวนสนามทุกวัน
ไว้สวนโชว์ในวันปิดการฝึก ที่พวกเราได้สวนสนามโชว์อย่างสวยงามพร้อมเพรียง
ตบเท้าได้อย่างเข้มแข็ง นับว่าเป็นการปิดหลักสูตรที่สมบูรณ์แบบมาก
ต้องขอขอบพระคุณครูฝึกทุกท่าน ของ
รร.พลทหาร และครูผู้หญิงของ รร.ชุมพลฯ ที่ดูแลเราอย่างดี
ช่วยแนะนำสั่งสอนจนพวกเราให้เปลี่ยนจากพลเรือน
มามีคุณลักษณะท่าทางที่เป็นทหารมากขึ้น มีร่างกายแข็งแรง และอดทนขึ้น มีความรักความภูมิใจในการได้เป็นทหารเรือ
ที่สำคัญแม้ว่ากองร้อยทหารหญิงนี้ จะไม่ได้ฝึกหนักเหมือนหลักสูตรหลักอื่นๆ ใน
รร.ทหาร แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรามีความเข้าใจในชีวิต
และความลำบากของทหารอาชีพที่ลำบากกว่านี้มากมาย สามารถนำไปทำงานรับใช้กองทัพเรือได้อย่างดี
สำหรับการฝึกข้าราชการกลาโหมพลเรือนในรุ่นต่อๆมา
มีการฝึกที่ รร.พลทหารหลังจากรุ่นแม่แก้วสักสองรุ่น จากนั้นได้แยกการฝึกข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร
ฝึกที่ รร.นายเรือ และ ชั้นประทวนฝึกที่ รร.ชุมพลฯ
สำหรับแม่แก้วแล้วเวลาเดือนกว่าๆนี้ ให้อะไรกับแม่แก้วมากมาย ได้เพื่อน
ได้เรียนรู้การวางตัว มีลักษณะท่าทางเป็นทหาร จึงเรียนจบหลักสูตรมาด้วยความสุข
ตัวดำกลับมาทำงานสอนนักเรียนจ่าต่อ เตรียมตัดชุดเครื่องแบบใหม่
และรอเวลาที่คำสั่งติดยศจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น