การสอบความรู้นักเรียนเป็นงานสำคัญ เพราะผลการสอบความรู้มีผลต่อการจัดเรียงอาวุโสในรุ่น
และอนาคตของนักเรียน การดำเนินการจึงมีขั้นตอนเป็นระบบ
มีการรักษาความลับอย่างดี
เริ่มตั้งแต่การออกข้อสอบต้องเขียนด้วยลายมือของครู ส่งให้เลขานุการสอบตามกำหนดเวลานัดหมาย
จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการจัดทำข้อสอบที่ทำในห้องที่จัดไว้เฉพาะ มีการกำหนดผู้เข้าออก
การพิมพ์ข้อสอบพิมพ์กระดาษไขสำหรับโรเนียวด้วยเครื่องพิมพ์ดีด
(สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์) เมื่อพิมพ์กระดาษไขตรวจสอบความถูกต้องแล้ว จึงจะส่งให้ทีมคลังตำรา
ซึ่งนำเครื่องโรเนียวพร้อมกระดาษกองโตมาตั้งไว้รอพร้อมจัดทำข้อสอบในห้องพิมพ์ข้อสอบ
นำกระดาษไขมาโรเนียวข้อสอบเป็นร้อยๆชุด จัดชุดใส่ซองตามห้องสอบ
จัดเก็บไว้รอเวลานำข้อสอบไปใช้สอบ
ขั้นตอนเหล่านี้แม่แก้วค่อยๆเรียนรู้จากรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อน
ความที่อยู่ รร.ชุมพลฯ หลายปี จึงจดจำขั้นตอนต่างๆได้และนำไปใช้ประโยชน์ในการรับราชการเมื่อเติบโตขึ้น
ทั้งการเป็นเลขานุการการสอบเลื่อนฐานะ การออกแบบผังข้อสอบ เทคนิคการออกข้อสอบ ซึ่งแม่แก้วคิดว่าคนที่ออกแบบระบบนี้มีความรู้ และบริหารงานเรื่องนี้ได้อย่างเป็นระบบมาก
พอถึงวันสอบที่กำหนดไว้ ผู้ที่ได้รับหน้าที่คุมสอบก็จะไปรอที่ห้องสอบ
ทีมเลขาฯจะจัดคนไปส่งข้อสอบที่ห้อง สมัยนั้นมีการใช้วิทยุสื่อสารระหว่างกัน
เนื่องจากห้องสอบที่จัดจากห้องเรียนใน รร.ชุมพลฯ มีพื้นที่กว้างมาก เมื่อข้อสอบส่งเสร็จ
จะมีเสียงตามสายประกาศให้แจกข้อสอบ ลงมือทำข้อสอบ
ขณะสอบหากนักเรียนมีข้อสงสัยในข้อสอบสามารถยกมือถามได้
ทางครูที่คุมสอบจะส่งข้อมูลมาที่ฝ่ายเลขาฯ ให้ตรวจสอบ สอบถามเจ้าของวิชา
ว่าจะมีการแก้ไข หรือไม่แก้ไข แจ้งกลับมาให้ครูคุมสอบชี้แจงนักเรียน ก่อนหมดเวลาสอบ ๑๕ นาที มีการประกาศเตือน
และเมื่อประกาศหมดเวลาสอบก็ให้วางปากกา
ส่งข้อสอบและใบตอบให้ครู ครูจะนับเรียงเลขที่ปิดซองเซ็นกำกับ
และนำส่งฝ่ายเลขาฯรวบรวม เพื่อนำส่งให้ครูเจ้าของวิชาไปตรวจให้คะแนน
สำหรับแม่แก้วแล้ว
ตอนออกข้อสอบครั้งแรกนี้เหนื่อยมาก
เพราะสอนปีแรกๆยังไม่มีข้อสอบเก่าๆไว้ดัดแปลง
ช่วงที่ออกข้อสอบนี้เป็นการทบทวนตัวเอง
และนำความรู้ไปทบทวนนักเรียนคู่ขนานไปด้วย เรื่องการสรุปประเด็น
เนื้อหาช่วงใกล้สอบให้กับนักเรียนนี้สำคัญ ถ้าครูสอนไม่ทัน เพราะนักเรียนมีกิจกรรมที่ทำให้ต้องงดสอน
เช่น ไปแข่งกีฬา จะมีการนัดหมายระหว่างครูกับนักเรียนมาเรียนชดเชยตอนค่ำ (ในช่วงนั้นเพื่อนครูผู้หญิงท่านหนึ่งถึงกับขับรถมอเตอร์ไซด์ตกเขาตอนขากลับได้รับบาดเจ็บถลอกปอกเปิก
เพราะขับไม่คล่อง และทางมืดมาก) รวมถึงการไปเยี่ยมนักเรียนที่ป่วยนอนพักที่แผนกแพทย์
ที่ไม่ได้มาเข้าชั้นเรียนกับเพื่อนๆ
ครูจะไปเยี่ยม ไปถามไถ่อาการ ถามว่ามีหนังสือสำหรับอ่านเตรียมสอบไหม
ไม่เข้าใจตรงไหน เพื่อให้มีความรู้มาสอบ จะได้ไม่สอบตกซ้ำชั้นอันเป็นการเสียทั้งงบประมาณหลวง
และเวลาของนักเรียนเองที่เรียนจบช้าไปอีกปี
วกกลับมาเรื่องตรวจข้อสอบ
ข้อสอบส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นแบบเลือกตอบ
ถูกผิด และเติมคำ
ครูจะนำข้อสอบมาเฉลยก่อน
ตอนเฉลยข้อสอบนี้ แม่แก้วที่เพิ่งเคยเป็นครูครั้งแรก ได้หัดใช้อุปกรณ์เฉลยข้อสอบที่ดูโบราณมากแต่ยังใช้งานได้ดี
(แม่แก้วไม่รู้ว่ามีชื่อเรียกหรือไม่ พยายามหาชื่อในอินเตอร์เน็ต แต่หาไม่พบ) ได้แก่ ที่ตอกเจาะรูกระดาษเฉลยข้อสอบ
ประกอบด้วยแท่นไม้สี่เหลี่ยมขนาด กว้าง ยาว สูง สักครึ่งฟุต ๑ แท่น ที่ตอกโลหะเจาะรู (เหมือนกับที่เจาะรูตาไก่) และฆ้อนสำหรับตอก เวลาเฉลย ครูจะกาข้อที่ถูกลงในใบตอบก่อน แล้วนำกระดาษใบตอบไปวางบนแท่นไม้
เอาที่ตอกโลหะเจาะรูวางบนกระดาษ แล้วใช้ฆ้อนตอกเฉลยให้เป็นรูตามข้อที่กา ตอนตอกดังป๊อกๆสนุกดี
ต้องออกแรงตอกพอดีกระดาษจึงถูกเจาะเป็นรู จากนั้นจึงนำไปทาบกับใบตอบของนักเรียน
แล้วลงมือตรวจนับข้อที่กาถูก แม่แก้วและเพื่อนครูจะตั้งใจตรวจเพราะอยากรู้ว่านักเรียนที่เราสอนได้รับความรู้ไปมากน้อยเพียงใด
ใครจะได้คะแนนสูงสุด ส่วนใหญ่นักเรียนที่สนใจเรียนไม่หลับ
หรือหัวหน้าห้องจะได้คะแนนสูง นักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดนี้ ตอนนั้นมีคำว่า “หนึ่งในร้อย”
มาเกี่ยวข้อง
หนึ่งในร้อย ในยุคนั้น คือ
นักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดในพรรคเหล่าของตนเอง เช่นมี นักเรียน ๑๐๐ นาย
คนที่ได้ที่ ๑ จะมีสิทธิ์ได้ไปเป็นนักเรียนนายเรือ
ในบางปีนักเรียนบางพรรคเหล่ามีไม่ถึงร้อยคน ก็ใช้วิธียกประโยชน์ให้จำเลย เช่น มี
๒๐ นาย ได้ไปเป็นนักเรียนนายเรือ ๑ นายในพรรคเหล่านั้นๆ ในสมัยนั้น
นักเรียนที่ตั้งใจเรียนเพื่อสอบให้ได้ที่ ๑ เพื่อให้ได้ไปอยู่ รร.นายเรือ จึงแข่งกันเรียน แข่งกันอ่านหนังสือ
ไม่ยอมหลับยอมนอน (นอนคลุมโปงอ่านบ้าง แอบอ่านในตู้บ้าง) เมื่อสอบได้ที่ ๑ แล้ว ได้ไปอยู่ รร.นายเรือ
ยังต้องหาคนเซ็นค้ำประกันให้
ตอนนั้นมีครูรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ท่านจะเมตตาถามไถ่นักเรียน
และช่วยเซ็นค้ำประกันให้นักเรียน (นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัด
พ่อแม่มีอาชีพทำไร่ทำนา ไม่มีญาติเป็นข้าราชการมาเซ็นค้ำประกันให้)
ครูที่เซ็นค้ำประกันให้นี้ถือว่าใจดีมีเมตตาและรักนักเรียนมาก เพราะหากต่อไปมีเหตุให้นักเรียนเรียนไม่จบ
ครูจะต้องเสียค่าปรับแทนเป็นเงินจำนวนหลักแสน (แต่เท่าที่ทราบนักเรียนเหล่านี้ตั้งใจเรียนจนจบ
ไม่ทำให้ครูผิดหวัง และครูไม่ต้องเสียค่าปรับ) นี่เป็นความรักความผูกพันของครูกับลูกศิษย์อีกเรื่องหนึ่งในรั้ว
รร.ทหารแห่งนี้
นักเรียนจ่าที่ได้ไปเรียนที่
รร.นายเรือนี้ เมื่อเรียนจบจะได้ติดยศเรือตรี มีอนาคตที่ไปได้ไกลขึ้น ส่วนใหญ่ที่แม่แก้วรู้จักจะเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด
อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ถือเนื้อถือตัว และทำงานขยันขันแข็ง นับว่ากองทัพเรือได้เห็นคุณค่า สนับสนุนบุคคลากรที่มีคุณภาพเหล่านี้ให้เติบโต
ซึ่งเป็นกำลังใจอย่างดีให้นักเรียนจ่าที่รักความก้าวหน้า
มีความฝันที่จะเป็นนักเรียนนายเรือ
การทำคะแนนในยุคนั้น ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้
ใช้คนกับเครื่องคิดเลขในการทำคะแนนล้วนๆ ทาง รร.ชุมพลฯ มอบให้ครูสายปริญญาในแผนกวิชาสามัญ
เป็นผู้รวบรวมคะแนนจากครูวิชาต่างๆที่ตรวจใบตอบให้คะแนนแล้ว ส่งมาให้ตัดเกรด
กรอกเกรด ลงในแบบฟอร์มใบกรอกคะแนนแบบ ยศ.๖
ซึ่งเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ของกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ครูจะจับคู่กันขานคะแนน กดเครื่องคิดเลขตัดเกรด กรอกเกรดด้วยลายมือในช่องวิชา
ให้ตรงตามรายชื่อนักเรียน ขั้นตอนนี้มีการสลับกันทวนซ้ำตลอด เพื่อกันการผิดพลาด
ช่วงจับคู่ขานเกรดนี้
ครูจะอ่านเลขได้แค่ ๕ ตัว คือ ๐ ๑ ๒ ๓ และ ๔ ส่วนใหญ่เป็นเลข ๒ กับ ๓ นานๆทีจะเป็นเลข ๔ กับ ๑ และนานๆกว่านี้ ถ้ามีเลข ๐
โผล่ขึ้นมาในการขานเกรด ครูมักจะหยุดขาน
มาดูว่าลูกศิษย์คนไหนหนอสอบตก ถ้าเป็นคนเดิมๆสอบตกหลายๆวิชา
ครูจะช่วยลุ้นตอนสรุปเกรดเฉลี่ยว่าจะได้ขึ้นขั้นใหม่หรือไม่ ในห้องทำคะแนนจึงมีแต่เสียงขานตัวเลขซ้ำไปซ้ำมากันทั้งวัน
ใครจับคู่กับใครก็ไปหามุมหาโต๊ะเหมาะๆในห้องทำงานที่ห่างกันพอไม่ให้เสียงขานตัวเลขตีกัน
ช่วงนี้มีการทำงานล่วงเวลา (โอที) ในตอนเย็นจนมืดค่ำ
แล้วค่อยกลับบ้านพัก
แม่แก้วจำได้ว่า ช่วงทำคะแนนล่วงเวลา
ในตอนเย็น แม่แก้วชอบมองไปที่หน้าต่างห้องทำงานบานที่หันออกไปสู่ทะเลด้านเกาะเกล็ดแก้ว
จะได้เห็นพระอาทิตย์ในฤดูหนาวสีแดงดวงกลมโต
ค่อยๆตกลงที่ทะเล โดยมีเกาะเกล็ดแก้ว และท้องฟ้าสีแดงระเรื่อเป็นฉากหลัง แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์นี้ ระยิบระยับบนผืนน้ำทะเลเหมือนกับเกล็ดแก้วสวยงามมาก
เป็นอีกครั้งที่แม่แก้วรู้สึกสบายใจ และมีความสุขที่ได้มาทำงานใน
รร.หลังเขาที่สวยงามแห่งนี้
การคิดเกรดเฉลี่ยจะใช้ทศนิยมสองตำแหน่ง
เมื่อตัดเกรด กรอกเกรดรายวิชา คิดเกรดเฉลี่ยเสร็จ ก็จะจัดลำดับอาวุโสให้นักเรียน
ซึ่งหากนักเรียนสอบตกวิชาใด แม้จะเกรดได้สูง จะถูกนำไปต่อท้ายคนที่สอบผ่านทุกวิชา บางครั้งจึงน่าเสียดายมากหากสอบได้เกรดเฉลี่ยสามกว่า
แต่ตกหนึ่งวิชา อาวุโสจะไปต่อท้ายคนที่สอบได้สองกว่า แต่ไม่ตกวิชาใดเลย
นักเรียนที่สอบตกสอง สาม สี่...วิชาจะต่ออาวุโสท้ายลงไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้จะมีนักเรียนที่เกรดไม่ถึงอยู่ท้ายๆ ที่จะต้องซ้ำชั้น สำหรับการสอบแก้ตัวหรือสอบซ่อมในวิชาที่สอบได้เกรดศูนย์
จะมีการนัดสอบ สมัยนั้นวิชาที่นักเรียนมักสอบตก ได้แก่ วิชาคณิตศาสตร์
นักเรียนจะมาสอบแก้ตัว เมื่อสอบผ่านแล้ว จะได้รับเกรด ๑ เป็นตัวสีแดง มีอยู่คราวหนึ่งนักเรียนที่สอบตกไม่ได้มาสอบเอง
แต่วานให้เพื่อนสวมเสื้อที่มีชื่อของตัวเองมาสอบแทน (เสื้อของนักเรียนทุกนายจะมีชื่อ
และอักษรตัวแรกของนามสกุลเขียนไว้บนหน้าอก เช่น กล้าหาญ ก. ) และครูที่คุมสอบจับได้ว่าไม่ใช่นักเรียนที่สอบตก
การทุจริตในการสอบจัดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมากในโรงเรียนทหาร
แม่แก้วได้รู้จักคำว่า “สอบพยุงฐานะ”
หมายถึง “สอบได้เป็นตก สอบตกเป็นออก” ไม่รู้ว่าใครคิดกฏเหล็กนี้
แม่แก้วว่ามันเป็นกฏเหล็กที่นักเรียนทหารทุกคนกลัวมาก และไม่อยากให้ตัวเองพบเจอกับคำนี้ คำนี้อธิบายง่ายๆว่า
ถ้าใครทุจริตการสอบแล้วถูกจับได้ จะถูกให้สอบวิชานั้นใหม่
ถ้าสอบได้ ก็จะปรับให้ สอบตก แต่ถ้าสอบตก
ก็จะให้ออกจากการเป็นนักเรียนทหาร นี่ยังไม่รวมถึงกฎเหล็กอื่นๆ
ได้แก่ การลักขโมย ซึ่งมีโทษสถานเดียว คือ ให้ออก ด้วยเหตุที่ว่า นอกจากการให้ความรู้ในวิชาชีพทหารเรือ
และความเป็นชาวเรือแล้ว นักเรียนทหารต้องให้ได้รับการปลูกฝังในด้านคุณธรรมจริยธรรม
มีระเบียบวินัย มีความซื่อสัตย์สุจริต อดทน ไม่โกหก ไม่คดโกง และไม่ลักขโมย พื้นฐานเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างเหล็กในตัวคนของทหารเรือ
ดังคำกล่าวที่ว่า “เหล็กในคน สำคัญกว่า
เหล็กในเรือ”
ครูรุ่นพี่สอนว่า ให้เราตั้งใจสอนให้นักเรียนมีความรู้
และสอบผ่าน ความตั้งใจของครูนี้ คงเหมือนกับทุกฝ่ายใน รร.
ที่ต้องการให้นักเรียนเรียนจบไปอย่างมีความรู้
เป็นทหารเรือที่มีคุณภาพออกไปรับใช้ชาติ ตามระยะเวลาของหลักสูตร
ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการเลี้ยงดูอีกปี หากสอบไม่ผ่าน
สำหรับนักเรียนนั้น เมื่อสอบภาควิชาการเสร็จก็ไปฝึกภาคทะเลต่อ และกลับมาปล่อยพักบ้านไม่กี่วัน ก่อนที่จะมาเข้าพิธีประกาศผลสอบความรู้ ชั้น ๑ เพื่อเลื่อนชั้นเป็นชั้น ๒ และชั้น ๒ เพื่อติดยศจ่าตรี แล้วแยกย้ายไปทำงานตามหน่วยต่างๆในกองทัพเรือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น