หน้าเว็บ

6/26/2558

ตอนที่ ๘ การสอบของนักเรียนจ่า

            หลังจากที่กลับจากฝึกทหารแล้ว แม่แก้วก็กลับมาทำงานสอนนักเรียนที่ รร.ชุมพลฯ ต่อ ช่วงต้นปี ราวเดือนมกราคม ถึงกุมภาพันธ์ เป็นช่วงการเตรียมการสอบปลายภาคให้กับนักเรียนจ่า ช่วงนี้ครูจะมีงานในการสอนทบทวนสรุปเนื้อหาที่เรียนมาให้กับนักเรียน  และออกข้อสอบส่งให้คณะกรรมการที่ทาง รร. แต่งตั้งให้จัดการสอบ
           การสอบความรู้นักเรียนเป็นงานสำคัญ เพราะผลการสอบความรู้มีผลต่อการจัดเรียงอาวุโสในรุ่น และอนาคตของนักเรียน  การดำเนินการจึงมีขั้นตอนเป็นระบบ  มีการรักษาความลับอย่างดี เริ่มตั้งแต่การออกข้อสอบต้องเขียนด้วยลายมือของครู ส่งให้เลขานุการสอบตามกำหนดเวลานัดหมาย จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการจัดทำข้อสอบที่ทำในห้องที่จัดไว้เฉพาะ มีการกำหนดผู้เข้าออก การพิมพ์ข้อสอบพิมพ์กระดาษไขสำหรับโรเนียวด้วยเครื่องพิมพ์ดีด (สมัยนั้นยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์)  เมื่อพิมพ์กระดาษไขตรวจสอบความถูกต้องแล้ว จึงจะส่งให้ทีมคลังตำรา ซึ่งนำเครื่องโรเนียวพร้อมกระดาษกองโตมาตั้งไว้รอพร้อมจัดทำข้อสอบในห้องพิมพ์ข้อสอบ  นำกระดาษไขมาโรเนียวข้อสอบเป็นร้อยๆชุด จัดชุดใส่ซองตามห้องสอบ จัดเก็บไว้รอเวลานำข้อสอบไปใช้สอบ
           ขั้นตอนเหล่านี้แม่แก้วค่อยๆเรียนรู้จากรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อน ความที่อยู่ รร.ชุมพลฯ หลายปี จึงจดจำขั้นตอนต่างๆได้และนำไปใช้ประโยชน์ในการรับราชการเมื่อเติบโตขึ้น ทั้งการเป็นเลขานุการการสอบเลื่อนฐานะ การออกแบบผังข้อสอบ  เทคนิคการออกข้อสอบ  ซึ่งแม่แก้วคิดว่าคนที่ออกแบบระบบนี้มีความรู้ และบริหารงานเรื่องนี้ได้อย่างเป็นระบบมาก   
           พอถึงวันสอบที่กำหนดไว้  ผู้ที่ได้รับหน้าที่คุมสอบก็จะไปรอที่ห้องสอบ ทีมเลขาฯจะจัดคนไปส่งข้อสอบที่ห้อง สมัยนั้นมีการใช้วิทยุสื่อสารระหว่างกัน เนื่องจากห้องสอบที่จัดจากห้องเรียนใน รร.ชุมพลฯ มีพื้นที่กว้างมาก  เมื่อข้อสอบส่งเสร็จ จะมีเสียงตามสายประกาศให้แจกข้อสอบ ลงมือทำข้อสอบ ขณะสอบหากนักเรียนมีข้อสงสัยในข้อสอบสามารถยกมือถามได้ ทางครูที่คุมสอบจะส่งข้อมูลมาที่ฝ่ายเลขาฯ ให้ตรวจสอบ สอบถามเจ้าของวิชา ว่าจะมีการแก้ไข หรือไม่แก้ไข  แจ้งกลับมาให้ครูคุมสอบชี้แจงนักเรียน  ก่อนหมดเวลาสอบ ๑๕ นาที มีการประกาศเตือน และเมื่อประกาศหมดเวลาสอบก็ให้วางปากกา  ส่งข้อสอบและใบตอบให้ครู ครูจะนับเรียงเลขที่ปิดซองเซ็นกำกับ และนำส่งฝ่ายเลขาฯรวบรวม เพื่อนำส่งให้ครูเจ้าของวิชาไปตรวจให้คะแนน
           สำหรับแม่แก้วแล้ว ตอนออกข้อสอบครั้งแรกนี้เหนื่อยมาก เพราะสอนปีแรกๆยังไม่มีข้อสอบเก่าๆไว้ดัดแปลง  ช่วงที่ออกข้อสอบนี้เป็นการทบทวนตัวเอง และนำความรู้ไปทบทวนนักเรียนคู่ขนานไปด้วย เรื่องการสรุปประเด็น เนื้อหาช่วงใกล้สอบให้กับนักเรียนนี้สำคัญ ถ้าครูสอนไม่ทัน เพราะนักเรียนมีกิจกรรมที่ทำให้ต้องงดสอน เช่น ไปแข่งกีฬา จะมีการนัดหมายระหว่างครูกับนักเรียนมาเรียนชดเชยตอนค่ำ  (ในช่วงนั้นเพื่อนครูผู้หญิงท่านหนึ่งถึงกับขับรถมอเตอร์ไซด์ตกเขาตอนขากลับได้รับบาดเจ็บถลอกปอกเปิก เพราะขับไม่คล่อง และทางมืดมาก)  รวมถึงการไปเยี่ยมนักเรียนที่ป่วยนอนพักที่แผนกแพทย์  ที่ไม่ได้มาเข้าชั้นเรียนกับเพื่อนๆ  ครูจะไปเยี่ยม ไปถามไถ่อาการ  ถามว่ามีหนังสือสำหรับอ่านเตรียมสอบไหม ไม่เข้าใจตรงไหน เพื่อให้มีความรู้มาสอบ จะได้ไม่สอบตกซ้ำชั้นอันเป็นการเสียทั้งงบประมาณหลวง และเวลาของนักเรียนเองที่เรียนจบช้าไปอีกปี
           วกกลับมาเรื่องตรวจข้อสอบ ข้อสอบส่วนใหญ่ที่ใช้จะเป็นแบบเลือกตอบ  ถูกผิด และเติมคำ  ครูจะนำข้อสอบมาเฉลยก่อน  ตอนเฉลยข้อสอบนี้ แม่แก้วที่เพิ่งเคยเป็นครูครั้งแรก ได้หัดใช้อุปกรณ์เฉลยข้อสอบที่ดูโบราณมากแต่ยังใช้งานได้ดี (แม่แก้วไม่รู้ว่ามีชื่อเรียกหรือไม่ พยายามหาชื่อในอินเตอร์เน็ต แต่หาไม่พบ)  ได้แก่ ที่ตอกเจาะรูกระดาษเฉลยข้อสอบ ประกอบด้วยแท่นไม้สี่เหลี่ยมขนาด กว้าง ยาว สูง สักครึ่งฟุต ๑ แท่น  ที่ตอกโลหะเจาะรู (เหมือนกับที่เจาะรูตาไก่)  และฆ้อนสำหรับตอก  เวลาเฉลย ครูจะกาข้อที่ถูกลงในใบตอบก่อน แล้วนำกระดาษใบตอบไปวางบนแท่นไม้ เอาที่ตอกโลหะเจาะรูวางบนกระดาษ แล้วใช้ฆ้อนตอกเฉลยให้เป็นรูตามข้อที่กา ตอนตอกดังป๊อกๆสนุกดี ต้องออกแรงตอกพอดีกระดาษจึงถูกเจาะเป็นรู  จากนั้นจึงนำไปทาบกับใบตอบของนักเรียน  แล้วลงมือตรวจนับข้อที่กาถูก  แม่แก้วและเพื่อนครูจะตั้งใจตรวจเพราะอยากรู้ว่านักเรียนที่เราสอนได้รับความรู้ไปมากน้อยเพียงใด ใครจะได้คะแนนสูงสุด  ส่วนใหญ่นักเรียนที่สนใจเรียนไม่หลับ หรือหัวหน้าห้องจะได้คะแนนสูง นักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดนี้ ตอนนั้นมีคำว่า “หนึ่งในร้อย” มาเกี่ยวข้อง
           หนึ่งในร้อย ในยุคนั้น คือ นักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดในพรรคเหล่าของตนเอง เช่นมี นักเรียน ๑๐๐ นาย คนที่ได้ที่ ๑ จะมีสิทธิ์ได้ไปเป็นนักเรียนนายเรือ ในบางปีนักเรียนบางพรรคเหล่ามีไม่ถึงร้อยคน ก็ใช้วิธียกประโยชน์ให้จำเลย เช่น มี ๒๐ นาย ได้ไปเป็นนักเรียนนายเรือ ๑ นายในพรรคเหล่านั้นๆ  ในสมัยนั้น นักเรียนที่ตั้งใจเรียนเพื่อสอบให้ได้ที่ ๑  เพื่อให้ได้ไปอยู่ รร.นายเรือ  จึงแข่งกันเรียน แข่งกันอ่านหนังสือ ไม่ยอมหลับยอมนอน (นอนคลุมโปงอ่านบ้าง แอบอ่านในตู้บ้าง)  เมื่อสอบได้ที่ ๑ แล้ว ได้ไปอยู่ รร.นายเรือ ยังต้องหาคนเซ็นค้ำประกันให้ 
           ตอนนั้นมีครูรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ท่านจะเมตตาถามไถ่นักเรียน และช่วยเซ็นค้ำประกันให้นักเรียน (นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างจังหวัด พ่อแม่มีอาชีพทำไร่ทำนา  ไม่มีญาติเป็นข้าราชการมาเซ็นค้ำประกันให้)  ครูที่เซ็นค้ำประกันให้นี้ถือว่าใจดีมีเมตตาและรักนักเรียนมาก  เพราะหากต่อไปมีเหตุให้นักเรียนเรียนไม่จบ ครูจะต้องเสียค่าปรับแทนเป็นเงินจำนวนหลักแสน  (แต่เท่าที่ทราบนักเรียนเหล่านี้ตั้งใจเรียนจนจบ ไม่ทำให้ครูผิดหวัง และครูไม่ต้องเสียค่าปรับ) นี่เป็นความรักความผูกพันของครูกับลูกศิษย์อีกเรื่องหนึ่งในรั้ว รร.ทหารแห่งนี้
           นักเรียนจ่าที่ได้ไปเรียนที่ รร.นายเรือนี้ เมื่อเรียนจบจะได้ติดยศเรือตรี มีอนาคตที่ไปได้ไกลขึ้น  ส่วนใหญ่ที่แม่แก้วรู้จักจะเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ถือเนื้อถือตัว และทำงานขยันขันแข็ง  นับว่ากองทัพเรือได้เห็นคุณค่า สนับสนุนบุคคลากรที่มีคุณภาพเหล่านี้ให้เติบโต  ซึ่งเป็นกำลังใจอย่างดีให้นักเรียนจ่าที่รักความก้าวหน้า มีความฝันที่จะเป็นนักเรียนนายเรือ
           การทำคะแนนในยุคนั้น ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ ใช้คนกับเครื่องคิดเลขในการทำคะแนนล้วนๆ ทาง รร.ชุมพลฯ มอบให้ครูสายปริญญาในแผนกวิชาสามัญ เป็นผู้รวบรวมคะแนนจากครูวิชาต่างๆที่ตรวจใบตอบให้คะแนนแล้ว ส่งมาให้ตัดเกรด กรอกเกรด ลงในแบบฟอร์มใบกรอกคะแนนแบบ ยศ.๖  ซึ่งเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ของกรมยุทธศึกษาทหารเรือ ครูจะจับคู่กันขานคะแนน  กดเครื่องคิดเลขตัดเกรด  กรอกเกรดด้วยลายมือในช่องวิชา ให้ตรงตามรายชื่อนักเรียน ขั้นตอนนี้มีการสลับกันทวนซ้ำตลอด เพื่อกันการผิดพลาด
           ช่วงจับคู่ขานเกรดนี้ ครูจะอ่านเลขได้แค่ ๕ ตัว คือ ๐ ๑ ๒ ๓ และ ๔  ส่วนใหญ่เป็นเลข ๒ กับ ๓  นานๆทีจะเป็นเลข ๔ กับ ๑  และนานๆกว่านี้ ถ้ามีเลข ๐ โผล่ขึ้นมาในการขานเกรด  ครูมักจะหยุดขาน มาดูว่าลูกศิษย์คนไหนหนอสอบตก  ถ้าเป็นคนเดิมๆสอบตกหลายๆวิชา ครูจะช่วยลุ้นตอนสรุปเกรดเฉลี่ยว่าจะได้ขึ้นขั้นใหม่หรือไม่   ในห้องทำคะแนนจึงมีแต่เสียงขานตัวเลขซ้ำไปซ้ำมากันทั้งวัน  ใครจับคู่กับใครก็ไปหามุมหาโต๊ะเหมาะๆในห้องทำงานที่ห่างกันพอไม่ให้เสียงขานตัวเลขตีกัน  ช่วงนี้มีการทำงานล่วงเวลา (โอที) ในตอนเย็นจนมืดค่ำ แล้วค่อยกลับบ้านพัก
           แม่แก้วจำได้ว่า ช่วงทำคะแนนล่วงเวลา ในตอนเย็น  แม่แก้วชอบมองไปที่หน้าต่างห้องทำงานบานที่หันออกไปสู่ทะเลด้านเกาะเกล็ดแก้ว  จะได้เห็นพระอาทิตย์ในฤดูหนาวสีแดงดวงกลมโต ค่อยๆตกลงที่ทะเล โดยมีเกาะเกล็ดแก้ว และท้องฟ้าสีแดงระเรื่อเป็นฉากหลัง  แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์นี้  ระยิบระยับบนผืนน้ำทะเลเหมือนกับเกล็ดแก้วสวยงามมาก  เป็นอีกครั้งที่แม่แก้วรู้สึกสบายใจ และมีความสุขที่ได้มาทำงานใน รร.หลังเขาที่สวยงามแห่งนี้ 
           การคิดเกรดเฉลี่ยจะใช้ทศนิยมสองตำแหน่ง เมื่อตัดเกรด กรอกเกรดรายวิชา คิดเกรดเฉลี่ยเสร็จ ก็จะจัดลำดับอาวุโสให้นักเรียน ซึ่งหากนักเรียนสอบตกวิชาใด แม้จะเกรดได้สูง จะถูกนำไปต่อท้ายคนที่สอบผ่านทุกวิชา บางครั้งจึงน่าเสียดายมากหากสอบได้เกรดเฉลี่ยสามกว่า แต่ตกหนึ่งวิชา อาวุโสจะไปต่อท้ายคนที่สอบได้สองกว่า แต่ไม่ตกวิชาใดเลย นักเรียนที่สอบตกสอง สาม สี่...วิชาจะต่ออาวุโสท้ายลงไปเรื่อยๆ ทั้งนี้จะมีนักเรียนที่เกรดไม่ถึงอยู่ท้ายๆ ที่จะต้องซ้ำชั้น  สำหรับการสอบแก้ตัวหรือสอบซ่อมในวิชาที่สอบได้เกรดศูนย์ จะมีการนัดสอบ สมัยนั้นวิชาที่นักเรียนมักสอบตก ได้แก่ วิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนจะมาสอบแก้ตัว เมื่อสอบผ่านแล้ว จะได้รับเกรด ๑ เป็นตัวสีแดง  มีอยู่คราวหนึ่งนักเรียนที่สอบตกไม่ได้มาสอบเอง แต่วานให้เพื่อนสวมเสื้อที่มีชื่อของตัวเองมาสอบแทน  (เสื้อของนักเรียนทุกนายจะมีชื่อ และอักษรตัวแรกของนามสกุลเขียนไว้บนหน้าอก เช่น กล้าหาญ ก. )  และครูที่คุมสอบจับได้ว่าไม่ใช่นักเรียนที่สอบตก
            การทุจริตในการสอบจัดว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมากในโรงเรียนทหาร  แม่แก้วได้รู้จักคำว่า “สอบพยุงฐานะ” หมายถึง “สอบได้เป็นตก สอบตกเป็นออก”  ไม่รู้ว่าใครคิดกฏเหล็กนี้ แม่แก้วว่ามันเป็นกฏเหล็กที่นักเรียนทหารทุกคนกลัวมาก และไม่อยากให้ตัวเองพบเจอกับคำนี้   คำนี้อธิบายง่ายๆว่า ถ้าใครทุจริตการสอบแล้วถูกจับได้  จะถูกให้สอบวิชานั้นใหม่ ถ้าสอบได้ ก็จะปรับให้ สอบตก  แต่ถ้าสอบตก ก็จะให้ออกจากการเป็นนักเรียนทหาร  นี่ยังไม่รวมถึงกฎเหล็กอื่นๆ ได้แก่ การลักขโมย ซึ่งมีโทษสถานเดียว คือ ให้ออก  ด้วยเหตุที่ว่า นอกจากการให้ความรู้ในวิชาชีพทหารเรือ และความเป็นชาวเรือแล้ว นักเรียนทหารต้องให้ได้รับการปลูกฝังในด้านคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัย มีความซื่อสัตย์สุจริต อดทน ไม่โกหก ไม่คดโกง และไม่ลักขโมย  พื้นฐานเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างเหล็กในตัวคนของทหารเรือ  ดังคำกล่าวที่ว่า “เหล็กในคน สำคัญกว่า เหล็กในเรือ”   
           ครูรุ่นพี่สอนว่า ให้เราตั้งใจสอนให้นักเรียนมีความรู้  และสอบผ่าน  ความตั้งใจของครูนี้ คงเหมือนกับทุกฝ่ายใน รร. ที่ต้องการให้นักเรียนเรียนจบไปอย่างมีความรู้ เป็นทหารเรือที่มีคุณภาพออกไปรับใช้ชาติ  ตามระยะเวลาของหลักสูตร ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการเลี้ยงดูอีกปี หากสอบไม่ผ่าน
           สำหรับนักเรียนนั้น  เมื่อสอบภาควิชาการเสร็จก็ไปฝึกภาคทะเลต่อ  และกลับมาปล่อยพักบ้านไม่กี่วัน  ก่อนที่จะมาเข้าพิธีประกาศผลสอบความรู้  ชั้น ๑ เพื่อเลื่อนชั้นเป็นชั้น ๒  และชั้น ๒ เพื่อติดยศจ่าตรี  แล้วแยกย้ายไปทำงานตามหน่วยต่างๆในกองทัพเรือ      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น