ประมาณกลางปี พ.ศ.๒๕๒๙
หรือเกือบสามสิบปีมาแล้ว แม่แก้วพึ่งเรียนจบปริญญาตรีจากรั้วจามจุรีใหม่ๆ
แล้วสมัครสอบเข้ารับราชการในกองทัพเรือ ก่อนไปสมัครสอบคุณอาเรียกไปถามว่า
“สอบเป็นอะไร”
แม่แก้วได้ตอบคุณอาว่า “ในประกาศบอกว่า สอบเป็นสัญญาบัตร”
คุณอาก็บอกว่า “ดีๆ”
ตอนนั้นแม่แก้วไม่มีความรู้ใดๆเกี่ยวกับทหารเรือเลย มีอย่างเดียวที่รู้เกี่ยวกับทหารเรือมากที่สุด คือ บ้านที่แม่แก้วพักอยู่ อยู่แถวเจริญพาศน์
ริมคลองย่อยที่เชื่อมกับคลองบางหลวงใกล้ๆกับกองทัพเรือ และกรมอู่ทหารเรือนั้น จะได้ยินเสียงหวูดกรมอู่ฯ
ในเวลา เช้า กลางวัน และเย็น ดังมาถึงคุ้งน้ำบ้านแม่แก้วทุกวันงาน ตอนนั้น อาม่า หรือคุณยายของแม่แก้ว
เป็นคนโบราณที่ไม่นิยมดูนาฬิกา ท่านจะรู้เวลาได้จากการฟังเสียงหวูดนี้ ตอนเที่ยงวันที่เสียงหวูดกรมอู่ฯ
ดังไปทั่วคุ้งน้ำ ท่านจะบอกลูกหลานว่า ได้เวลากินข้าวกลางวันแล้ว
แม่แก้วเองรู้แต่ว่าเรียนจบต้องรีบหางานทำ จะได้มีเงินเดือนมาใช้จ่าย
ช่วยลดภาระของแม่ซึ่งทำงานหนักส่งลูกเรียนหลายคน
และงานที่อยากทำต้องเป็นงานที่มั่นคง จะได้ไม่ต้องหางานใหม่บ่อยๆ
การรับราชการก็เป็นงานที่มั่นคงในสายตาแม่แก้วมาก แม่แก้วจึงตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือ เตรียมตัวสอบ ตั้งใจสอบข้อเขียน
รวมทั้งหาความรู้เกี่ยวกับทหารเรือมาเตรียมตอบคำถามในตอนสอบสัมภาษณ์
จำได้ว่าตอนนั้น ประธานการสอบสัมภาษณ์ถามเกี่ยวกับเครื่องหมายยศของท่านว่า
ท่านมียศอะไร
ตรงกับที่แม่แก้วท่องไปพอดีว่า ถ้าบ่าเป็นสีทองทั้งหมดแสดงว่าเป็นยศนายพล
จึงตอบท่านถูก และท่านหัวเราะชอบใจใหญ่ (รอดตัวไป)
และใครไม่รู้บอกว่า “ให้ขอพรเสด็จเตี่ยให้สอบได้” ในตอนนั้นแม่แก้วไม่รู้ว่าเสด็จเตี่ยมีความสำคัญอย่างไร
และจะไปกราบท่านได้ที่ไหน แต่คนบอกได้บอกว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มากและเป็นที่เคารพนับถือของทหารเรือ ในเวลาค่ำมืดจวนตัว พรุ่งนี้จะสอบแล้ว แม่แก้วเลยจุดธูปกลางแจ้งอธิษฐานจิตบอกเสด็จเตี่ย
ขอฝากเนื้อฝากตัว ขอพรและบารมีจากท่าน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสอบ หลังสอบได้แล้ว
จึงได้หาโอกาสขึ้นไปกราบเสด็จเตี่ย
บนเขากรมหลวงชุมพร ต.สัตหีบ จว.ชลบุรี เพื่อกราบขอบพระคุณ
และรายงานตัวกับพระองค์ท่านว่าจะตั้งใจทำงาน
วันประกาศผลสอบ
มีชื่อแม่แก้วในการประกาศผลสอบพร้อมกับเพื่อนๆในสาขาอื่น รวมสิบกว่าคน แม่แก้วดีใจมาก ตอนนั้นสาขาเฉพาะทางที่แม่แก้วเรียนจบมา
ประกาศรับ ๑ อัตรา ไม่กำหนดเพศ ซึ่งเป็นโชคอีกชั้นของแม่แก้วที่เป็นผู้หญิงมีสิทธิ์สมัครสอบ
เพราะรุ่นที่รับในปีก่อนหน้านี้รับเฉพาะเพศชาย
ปีนี้มีคนมาสอบแข่งขันในอัตราที่แม่แก้วสมัครสอบ จำนวน ๑๔ คน นับว่ามีการแข่งขันน้อย เมื่อเทียบกับเพื่อนที่สอบสาขาอื่น เช่น อักษรศาสตร์
มีผู้สมัครมากกว่าห้าร้อยคน แต่รับเพียง ๒ อัตรา
การมีผู้สมัครเข้าสอบมากมายนี้
ทำให้กองทัพเรือได้คัดเลือกนายทหารปริญญาที่มีคุณภาพเข้ารับราชการในกองทัพเรืออีกทาง
เพิ่มเติมจากกำลังพลหลักที่กองทัพเรือผลิตเองจากโรงเรียนนายเรือ
โรงเรียนชุมพลทหารเรือ และโรงเรียนต่างๆ
ทางกรมกำลังพลทหารเรือ (กพ.ทร.)
แจ้งนัดหมายให้ไปรายงานตัวที่โรงเรียนพันจ่า แถวโพธิ์สามต้น เพื่อตรวจเอกสารส่วนตัวต่างๆ
รวมทั้งทำสัญญากับกองทัพเรือ
การทำสัญญานี้เป็นการสัญญาว่าเราจะไม่ลาออกก่อนในช่วงปีแรกๆของการทำงาน
ถ้าลาออกก่อนจะต้องถูกปรับมากน้อยตามสัดส่วนจำนวนปีที่อยู่ทำงาน ตอนนั้น ผู้มาทำสัญญาส่วนใหญ่คุยจะขำๆกันว่า
เราเรียนมาทุนส่วนตัว แต่ถ้าทำสัญญานี้แล้ว ไม่มาทำงานตามสัญญาจะถูกปรับสามหมื่นเลยหรือ แต่ทุกคนก็เต็มใจทำสัญญานี้
เพราะอยากรับราชการกับกองทัพเรือ
การตรวจหลักฐานนี้
หลักฐานสำคัญหนึ่งที่ต้องมีสำหรับผู้ที่มีปู่ย่าตายายเป็นคนต่างด้าว
(อาก๋งหรือคุณปู่ของแม่แก้วเป็นผู้ที่อพยพมาจากเมืองจีน)
จะต้องมีหนังสือรับรองว่าบิดาเกิดในเมืองไทย
ซึ่งโชคดีที่พี่สาวของแม่แก้วได้ทำใบรับรองนี้ไว้แล้ว
เมื่อตอนสมัครเข้ารับราชการในกองทัพบก
เมื่อรายงานตัว ทำสัญญาแล้ว
พี่นายทหารของ กพ.ทร. ได้แจ้งว่า ให้กลับบ้านได้
และรอเรียกตัวในอีกสามเดือนข้างหน้า
สาเหตุที่นานถึงสามเดือนนี้ พี่ กพ. อธิบายให้ฟังว่า
เป็นเพราะต้องตรวจหลักฐาน และสอบประวัติ รวมถึงเสนอเรื่องลงคำสั่งบรรจุ
ช่วงกลับมารอการเรียกตัวไปทำงานนี้
แม่แก้วถือโอกาสพักผ่อนอย่างสบายใจ เนื่องจาก ไม่ต้องกังวลใดๆแล้ว
จึงเป็นช่วงที่ยืมหนังสือนวนิยายจากร้านเช่าหนังสือมานอนอ่าน
สลับกับการช่วยที่บ้านทำงาน
ปลายเดือน กันยายน พ.ศ.๒๕๒๙ พี่นายทหารที่ กพ.ทร.
ได้เรียกให้มารายงานตัวที่ กพ.ทร.
หลังจากที่นั่งๆนอนๆ รอเรียกตัวมานานหลายเดือน
จากนั้นให้แยกย้ายไปรายงานตัวทำงานตามสถานที่ต่างๆที่แต่ละคนได้รับการบรรจุ แม่แก้วได้รับบรรจุในตำแหน่งครู ในแผนกวิชาสามัญ กองการศึกษา
โรงเรียนรร.ชุมพลฯทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
ซึ่งต่อไปจะขอเรียกสั้นๆว่า "รร.ชุมพลฯ"
รร.ชุมพลฯ หรือ “เกล็ดแก้ว” มีที่ตั้งอยู่หลังเขาช้าง
ด้านหน้าหันออกทะเลที่หาดเกล็ดแก้ว ปากทางเข้าอยู่บนถนนสุขุมวิทหลักกิโลเมตรที่
๑๖๗ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี ปากทาง รร.ชุมพลฯ ห่างจากพัทยาประมาณ ๒๐ กม.
ห่างจากสวนนงนุชประมาณ ๓ กม. หรืออยู่ถัดจากบ้านบางเสร่ สมัยนั้นการเดินทางไปรายงานตัวที่รร.ชุมพลฯ
ดูเหมือนจะไกลมากสำหรับเด็กกรุงเทพฯ ที่ไม่เคยจากบ้านไปไหนนานๆ
(ยกเว้นไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนคราวละ ๒ – ๓ วัน
และเคยไปสัตหีบกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยครั้งหนึ่ง)
ทางบ้านพอรู้ว่าต้องไปทำงานที่สัตหีบซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไกลบ้าน
ไม่ได้กลับมานอนพักบ้านทุกวัน ครอบครัวอากู๋ใหญ่ (คุณลุง)
ของแม่แก้วจึงอาสาขับรถไปส่ง
ในสมัยนั้น เส้นทางไปสัตหีบง่ายมาก
เพราะตอนนั้นยังไม่มีถนนเลี่ยงเมืองชลบุรี และถนนมอเตอร์เวย์เหมือนในปัจจุบัน ขอให้ขับออกจากกรุงเทพฯ เข้าถนนบางนา-ตราด ให้ได้
ใครชวนเลี้ยวไปไหน ไม่ต้องไป
ให้วิ่งตรงมาอย่างเดียว ผ่านตัวเมืองชลบุรี หนองมน ศรีราชา พัทยา มาเรื่อยๆ
เรียกว่าถ้าตรงมาเรื่อยๆแบบนี้จะมาสุดทางที่ชายทะเลตรงหน้าฐานทัพเรือสัตหีบพอดี
ตอนนั้นความเจริญและแสงสีศิวิไลซ์ดูเหมือนจะหยุดอยู่แค่แถวๆพัทยา
ถนนทางเรียบสี่เลนขนาดใหญ่ที่มีเกาะกลางให้รถวิ่งไป-กลับ จะสิ้นสุดลงที่พัทยา พอลงจากพัทยาใต้
ถนนจะเล็กลงเป็นถนนขนาดสองเลนที่รถวิ่งสวนกัน (ถนนนี้ขรุขระและมืดมากในตอนกลางคืน) พอรถวิ่งพ้นพัทยาแล้ว
รถจะวิ่งได้ช้าลงและสั่นสะเทือนมาก เนื่องจากถนนเป็นหินขรุขระไม่เรียบ นี่เป็นสัญญาณที่รู้กันว่าใกล้ถึง รร.ชุมพลฯ
แล้ว
รร.ชุมพลฯ ตั้งอยู่หลังเขา(ช้าง) ลึกจากปากทางถนนสุขุมวิทประมาณ ๕ กม.
ปากทางเข้ามีจุดรักษาการณ์ถนนสุขุมวิท
ถนนเข้า รร.ชุมพลฯ เป็นถนนลาดยางขนาดสองเลนให้รถวิ่งสวนไปมาได้
สองข้างทางมีต้นไม้ปลูกเป็นระยะห่างเท่าๆกัน แม่แก้วนึกในใจว่า
แม้แต่ต้นไม้ยังเรียงแถวเป็นระเบียบเหมือนยืนเข้าแถวทหารเลย
ต้นไม้ในช่วงปลายเดือนกันยายนเขียวชะอุ่มร่มรื่นสวยงามมาก รถแล่นผ่านอ่างเก็บน้ำโรงเรียนพลทหาร
(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์ฝึกทหารใหม่) ซึ่งอยู่ลึกจากปากทางถนนสุขุมวิทประมาณ ๒ กม.
ผ่าน รร.พลทหาร แล้วลงเนินผ่านศาลเจ้าพ่อเขาช้าง
แล่นขึ้นเนินมะค่า ผ่านจุดรักษาการณ์เนินมะค่า (นิยมเรียกสั้นๆว่า ยามเนินมะค่า) ซึ่งจุดรักษาการณ์ทั้งสองจุดนี้จะมีการสอบถามและแลกบัตรประชาชนก่อนที่จะอนุญาตให้เข้า
เมื่อรถแล่นลงจากเนินมะค่า
ทุกคนในรถต่างตื่นตาตื่นใจกับวิวทะเลที่อยู่เบื้องหน้า
สามแยกใหญ่หลังจากลงเนินมะค่ามา คือ
สามแยกที่มีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งอยู่ที่ริมทางแยกซ้ายมือ เลยจากแยกนี้ได้สัก ๕๐๐ เมตร จะถึงกองบังคับการ
เป็นตึกสีขาวขนาดใหญ่ มีบันไดกว้างด้านหน้าตึกดูอลังการมาก หน้าตึกมีคำสี่คำที่เป็นคำปฏิญาณตนของทหารเรือหน้าแถว
คือ “ชาติ เกียรติ วินัย กล้าหาญ” ตึกนี้ตั้งหันข้างเล็กน้อยกับอ่าวเกล็ดแก้ว ด้านหน้ากองบังคับการมีลานปูนขนาดใหญ่
(ต่อไปขอเรียกว่า “ลานหน้า บก.”) เบื้องหน้าของเรา คือ
ทะเลสีครามตัดกับท้องฟ้าสดใสกว้างใหญ่สวยงามมาก
จากลานหน้ากองบังคับการนี้ เลี้ยวซ้ายแล่นผ่านเสาธงมาได้สักระยะ
โดยมีทะเลอยู่ด้านขวา จนถึงถนนตรงที่เป็นเขตบ้านพักนายทหารชั้นผู้ใหญ่ริมทะเลที่ห้ามผ่าน
เลี้ยวซ้ายขึ้นมาแล้วเลี้ยวขวาซอยที่ ๓ นับจากทะเล จริงๆมีอีกเส้นทาง
แต่เราไปครั้งแรกกลัวหลง
พี่ที่อธิบายทางจึงให้ตั้งต้นที่ บก. ก่อนแล้วแล่นเลาะหาดเกล็ดแก้ว
ตั้งต้นนับซอยจากริมทะเล อีกอย่าง คือ สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือให้โทรถาม
หรือ โปรแกรมนำทางเหมือนในปัจจุบัน
อากู๋
ได้มาส่งที่บ้านพักซึ่งมีรุ่นพี่ทหารเรือเหล่าเดียวกันฝากมาให้พักกับรุ่นพี่ครูภาษา
(ครูภาษาอังกฤษ เราเรียกสั้นๆว่าครูภาษา) บ้านที่แม่แก้วได้อยู่นี้เรียกว่า
บ้านแฝดซอย ๓ (เป็นซอยที่ ๓ นับจากทะเล) โซนบ้านซอย ๓ นี้มีบ้านแฝดจำนวน ๓ คู่
หรือ ๖ หลัง จัดให้ครูผู้หญิงพักอยู่หลังละ ๒ คน
บ้านแฝดในสมัยนั้นเป็นบ้านหลวงที่จัดว่าใหม่กว่าบ้านหลังอื่นๆใน
รร.ชุมพลฯ ชั้นล่างมีห้องโถง ห้องน้ำที่ปูกระเบื้อง ๑ ห้อง ห้องน้ำปูนเปลือย ๑ ห้อง ห้องนอนเล็กๆ
(น่าจะออกแบบสำหรับให้พลทหารนอน)
หลังบ้านมีห้องเก็บของ ห้องครัว ลานซักล้าง ที่ตากผ้า และถังเก็บน้ำ ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอน ๒ ห้อง
ภายในบ้านมีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐาน ได้แก่ ชุดรับแขก เตียง ที่นอน ตู้เสื้อผ้า ในห้องครัว มีตู้ครัว ตู้กับข้าว พร้อม
เรียกว่า หิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย
สำหรับเพื่อนนายทหารชายที่บรรจุรุ่นเดียวกัน
๑ นาย ได้ถูกจัดให้พักที่ตึกพักนายทหารโสด หรือ ที่เรียกกันง่ายๆว่า BOQ (ย่อมาจากคำว่า Bachelor Officer Quarters ) ซึ่งอยู่ถนนริมทะเล โดยพี่ครูภาษาได้แจ้งให้พ่อบุญครูรุ่นพี่ขี่มอเตอร์ไซด์มารับตัวไปเข้าที่พัก
เมื่ออากู๋ได้พาแม่แก้วไปส่งที่บ้านแฝดซอย
๓ เรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินทางกลับกรุงเทพฯ
ด้วยว่าใกล้ค่ำแล้ว ทิ้งแม่แก้วไว้ที่บ้านแฝด
พร้อมสัมภาระเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย บรรยากาศที่ รร.ชุมพลฯ
ในยามค่ำคืนนี้ มืดและเงียบเหงามาก ตามถนนหนทางไม่ค่อยมีแสงไฟตามทาง นานๆทีจะมีรถแล่นผ่านหน้าบ้านสักคัน เรื่องคนเดินไปมาขวักไขว่แบบกรุงเทพฯยิ่งไม่มี
เพราะส่วนใหญ่เมื่อมืดค่ำแล้วทุกคนจะพักผ่อนอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน สร้างความว้าเหว่แก่แม่แก้วซึ่งเคยอยู่กรุงเทพฯ
และบ้านครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้องหลายคนเป็นอย่างมาก
คืนนั้นแม่แก้วจึงหลับไปด้วยความคิดถึงบ้านกรุงเทพฯ
และคิดว่าพรุ่งนี้ยังมีเรื่องที่ต้องผจญภัยและเรียนรู้อีกมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น