หน้าเว็บ

6/16/2558

ตอนที่ ๑ ไปเกล็ดแก้วครั้งแรก

          Diary @ เกล็ดแก้ว ฉบับนี้เป็นบันทึกความทรงจำเมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว ของเด็กสาวคนหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้ารับราชการในกองทัพเรือ   โดยเริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นครูในรั้วโรงเรียนชุมพลทหารเรือ หรือที่เรียกว่า "เกล็ดแก้ว"   โรงเรียนจ่าทหารเรือหลังเขาที่ตั้งอยู่ริมทะเลอันสวยงาม ความทรงจำที่เกิดขึ้น ณ เกล็ดแก้วนี้   เป็นความทรงจำในอดีตของวัยเริ่มต้นทำงาน และสร้างครอบครัวเล็กๆ ผ่านมุมมองของผู้เขียน ในการเล่าเรื่องราวต่างๆ ผ่านตัวละครสมมุติในช่วงเวลานั้น 
 ตอนที่ ๑ ไปเกล็ดแก้วครั้งแรก
            ประมาณกลางปี พ.ศ.๒๕๒๙ หรือเกือบสามสิบปีมาแล้ว แม่แก้วพึ่งเรียนจบปริญญาตรีจากรั้วจามจุรีใหม่ๆ แล้วสมัครสอบเข้ารับราชการในกองทัพเรือ ก่อนไปสมัครสอบคุณอาเรียกไปถามว่า 
            สอบเป็นอะไร    
            แม่แก้วได้ตอบคุณอาว่า ในประกาศบอกว่า สอบเป็นสัญญาบัตร 
            คุณอาก็บอกว่า ดีๆ  
         ตอนนั้นแม่แก้วไม่มีความรู้ใดๆเกี่ยวกับทหารเรือเลย  มีอย่างเดียวที่รู้เกี่ยวกับทหารเรือมากที่สุด คือ บ้านที่แม่แก้วพักอยู่ อยู่แถวเจริญพาศน์ ริมคลองย่อยที่เชื่อมกับคลองบางหลวงใกล้ๆกับกองทัพเรือ และกรมอู่ทหารเรือนั้น จะได้ยินเสียงหวูดกรมอู่ฯ ในเวลา เช้า กลางวัน และเย็น ดังมาถึงคุ้งน้ำบ้านแม่แก้วทุกวันงาน  ตอนนั้น อาม่า หรือคุณยายของแม่แก้ว เป็นคนโบราณที่ไม่นิยมดูนาฬิกา ท่านจะรู้เวลาได้จากการฟังเสียงหวูดนี้  ตอนเที่ยงวันที่เสียงหวูดกรมอู่ฯ ดังไปทั่วคุ้งน้ำ ท่านจะบอกลูกหลานว่า ได้เวลากินข้าวกลางวันแล้ว 
            แม่แก้วเองรู้แต่ว่าเรียนจบต้องรีบหางานทำ  จะได้มีเงินเดือนมาใช้จ่าย ช่วยลดภาระของแม่ซึ่งทำงานหนักส่งลูกเรียนหลายคน  และงานที่อยากทำต้องเป็นงานที่มั่นคง จะได้ไม่ต้องหางานใหม่บ่อยๆ  การรับราชการก็เป็นงานที่มั่นคงในสายตาแม่แก้วมาก  แม่แก้วจึงตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือ  เตรียมตัวสอบ ตั้งใจสอบข้อเขียน รวมทั้งหาความรู้เกี่ยวกับทหารเรือมาเตรียมตอบคำถามในตอนสอบสัมภาษณ์ จำได้ว่าตอนนั้น ประธานการสอบสัมภาษณ์ถามเกี่ยวกับเครื่องหมายยศของท่านว่า ท่านมียศอะไร  ตรงกับที่แม่แก้วท่องไปพอดีว่า ถ้าบ่าเป็นสีทองทั้งหมดแสดงว่าเป็นยศนายพล จึงตอบท่านถูก และท่านหัวเราะชอบใจใหญ่ (รอดตัวไป)
            และใครไม่รู้บอกว่า ให้ขอพรเสด็จเตี่ยให้สอบได้ ในตอนนั้นแม่แก้วไม่รู้ว่าเสด็จเตี่ยมีความสำคัญอย่างไร และจะไปกราบท่านได้ที่ไหน แต่คนบอกได้บอกว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มากและเป็นที่เคารพนับถือของทหารเรือ  ในเวลาค่ำมืดจวนตัว พรุ่งนี้จะสอบแล้ว  แม่แก้วเลยจุดธูปกลางแจ้งอธิษฐานจิตบอกเสด็จเตี่ย ขอฝากเนื้อฝากตัว ขอพรและบารมีจากท่าน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการสอบ   หลังสอบได้แล้ว จึงได้หาโอกาสขึ้นไปกราบเสด็จเตี่ย  บนเขากรมหลวงชุมพร ต.สัตหีบ จว.ชลบุรี เพื่อกราบขอบพระคุณ และรายงานตัวกับพระองค์ท่านว่าจะตั้งใจทำงาน 
            วันประกาศผลสอบ มีชื่อแม่แก้วในการประกาศผลสอบพร้อมกับเพื่อนๆในสาขาอื่น รวมสิบกว่าคน  แม่แก้วดีใจมาก  ตอนนั้นสาขาเฉพาะทางที่แม่แก้วเรียนจบมา ประกาศรับ ๑ อัตรา ไม่กำหนดเพศ  ซึ่งเป็นโชคอีกชั้นของแม่แก้วที่เป็นผู้หญิงมีสิทธิ์สมัครสอบ เพราะรุ่นที่รับในปีก่อนหน้านี้รับเฉพาะเพศชาย  ปีนี้มีคนมาสอบแข่งขันในอัตราที่แม่แก้วสมัครสอบ จำนวน ๑๔ คน  นับว่ามีการแข่งขันน้อย  เมื่อเทียบกับเพื่อนที่สอบสาขาอื่น เช่น อักษรศาสตร์ มีผู้สมัครมากกว่าห้าร้อยคน แต่รับเพียง ๒ อัตรา  การมีผู้สมัครเข้าสอบมากมายนี้  ทำให้กองทัพเรือได้คัดเลือกนายทหารปริญญาที่มีคุณภาพเข้ารับราชการในกองทัพเรืออีกทาง  เพิ่มเติมจากกำลังพลหลักที่กองทัพเรือผลิตเองจากโรงเรียนนายเรือ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ และโรงเรียนต่างๆ 
            ทางกรมกำลังพลทหารเรือ (กพ.ทร.) แจ้งนัดหมายให้ไปรายงานตัวที่โรงเรียนพันจ่า แถวโพธิ์สามต้น  เพื่อตรวจเอกสารส่วนตัวต่างๆ รวมทั้งทำสัญญากับกองทัพเรือ การทำสัญญานี้เป็นการสัญญาว่าเราจะไม่ลาออกก่อนในช่วงปีแรกๆของการทำงาน ถ้าลาออกก่อนจะต้องถูกปรับมากน้อยตามสัดส่วนจำนวนปีที่อยู่ทำงาน  ตอนนั้น ผู้มาทำสัญญาส่วนใหญ่คุยจะขำๆกันว่า เราเรียนมาทุนส่วนตัว แต่ถ้าทำสัญญานี้แล้ว ไม่มาทำงานตามสัญญาจะถูกปรับสามหมื่นเลยหรือ  แต่ทุกคนก็เต็มใจทำสัญญานี้ เพราะอยากรับราชการกับกองทัพเรือ  
            การตรวจหลักฐานนี้ หลักฐานสำคัญหนึ่งที่ต้องมีสำหรับผู้ที่มีปู่ย่าตายายเป็นคนต่างด้าว (อาก๋งหรือคุณปู่ของแม่แก้วเป็นผู้ที่อพยพมาจากเมืองจีน) จะต้องมีหนังสือรับรองว่าบิดาเกิดในเมืองไทย  ซึ่งโชคดีที่พี่สาวของแม่แก้วได้ทำใบรับรองนี้ไว้แล้ว เมื่อตอนสมัครเข้ารับราชการในกองทัพบก 
            เมื่อรายงานตัว ทำสัญญาแล้ว พี่นายทหารของ กพ.ทร. ได้แจ้งว่า ให้กลับบ้านได้  และรอเรียกตัวในอีกสามเดือนข้างหน้า  สาเหตุที่นานถึงสามเดือนนี้ พี่ กพ. อธิบายให้ฟังว่า เป็นเพราะต้องตรวจหลักฐาน และสอบประวัติ รวมถึงเสนอเรื่องลงคำสั่งบรรจุ  
            ช่วงกลับมารอการเรียกตัวไปทำงานนี้ แม่แก้วถือโอกาสพักผ่อนอย่างสบายใจ เนื่องจาก ไม่ต้องกังวลใดๆแล้ว จึงเป็นช่วงที่ยืมหนังสือนวนิยายจากร้านเช่าหนังสือมานอนอ่าน สลับกับการช่วยที่บ้านทำงาน   
            ปลายเดือน กันยายน พ.ศ.๒๕๒๙  พี่นายทหารที่ กพ.ทร. ได้เรียกให้มารายงานตัวที่ กพ.ทร.  หลังจากที่นั่งๆนอนๆ รอเรียกตัวมานานหลายเดือน  จากนั้นให้แยกย้ายไปรายงานตัวทำงานตามสถานที่ต่างๆที่แต่ละคนได้รับการบรรจุ  แม่แก้วได้รับบรรจุในตำแหน่งครู  ในแผนกวิชาสามัญ กองการศึกษา โรงเรียนรร.ชุมพลฯทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ  ซึ่งต่อไปจะขอเรียกสั้นๆว่า "รร.ชุมพลฯ" 
            รร.ชุมพลฯ หรือ “เกล็ดแก้ว” มีที่ตั้งอยู่หลังเขาช้าง ด้านหน้าหันออกทะเลที่หาดเกล็ดแก้ว ปากทางเข้าอยู่บนถนนสุขุมวิทหลักกิโลเมตรที่ ๑๖๗  ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี  ปากทาง รร.ชุมพลฯ ห่างจากพัทยาประมาณ ๒๐ กม. ห่างจากสวนนงนุชประมาณ ๓ กม. หรืออยู่ถัดจากบ้านบางเสร่  สมัยนั้นการเดินทางไปรายงานตัวที่รร.ชุมพลฯ ดูเหมือนจะไกลมากสำหรับเด็กกรุงเทพฯ ที่ไม่เคยจากบ้านไปไหนนานๆ (ยกเว้นไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนคราวละ ๒ ๓ วัน และเคยไปสัตหีบกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยครั้งหนึ่ง) ทางบ้านพอรู้ว่าต้องไปทำงานที่สัตหีบซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและไกลบ้าน ไม่ได้กลับมานอนพักบ้านทุกวัน ครอบครัวอากู๋ใหญ่ (คุณลุง) ของแม่แก้วจึงอาสาขับรถไปส่ง 
            ในสมัยนั้น เส้นทางไปสัตหีบง่ายมาก เพราะตอนนั้นยังไม่มีถนนเลี่ยงเมืองชลบุรี และถนนมอเตอร์เวย์เหมือนในปัจจุบัน  ขอให้ขับออกจากกรุงเทพฯ เข้าถนนบางนา-ตราด ให้ได้ ใครชวนเลี้ยวไปไหน ไม่ต้องไป  ให้วิ่งตรงมาอย่างเดียว ผ่านตัวเมืองชลบุรี หนองมน ศรีราชา พัทยา มาเรื่อยๆ เรียกว่าถ้าตรงมาเรื่อยๆแบบนี้จะมาสุดทางที่ชายทะเลตรงหน้าฐานทัพเรือสัตหีบพอดี ตอนนั้นความเจริญและแสงสีศิวิไลซ์ดูเหมือนจะหยุดอยู่แค่แถวๆพัทยา  ถนนทางเรียบสี่เลนขนาดใหญ่ที่มีเกาะกลางให้รถวิ่งไป-กลับ  จะสิ้นสุดลงที่พัทยา  พอลงจากพัทยาใต้  ถนนจะเล็กลงเป็นถนนขนาดสองเลนที่รถวิ่งสวนกัน  (ถนนนี้ขรุขระและมืดมากในตอนกลางคืน)  พอรถวิ่งพ้นพัทยาแล้ว รถจะวิ่งได้ช้าลงและสั่นสะเทือนมาก เนื่องจากถนนเป็นหินขรุขระไม่เรียบ    นี่เป็นสัญญาณที่รู้กันว่าใกล้ถึง รร.ชุมพลฯ แล้ว
            รร.ชุมพลฯ ตั้งอยู่หลังเขา(ช้าง)  ลึกจากปากทางถนนสุขุมวิทประมาณ ๕ กม. ปากทางเข้ามีจุดรักษาการณ์ถนนสุขุมวิท  ถนนเข้า รร.ชุมพลฯ เป็นถนนลาดยางขนาดสองเลนให้รถวิ่งสวนไปมาได้  สองข้างทางมีต้นไม้ปลูกเป็นระยะห่างเท่าๆกัน  แม่แก้วนึกในใจว่า แม้แต่ต้นไม้ยังเรียงแถวเป็นระเบียบเหมือนยืนเข้าแถวทหารเลย  ต้นไม้ในช่วงปลายเดือนกันยายนเขียวชะอุ่มร่มรื่นสวยงามมาก  รถแล่นผ่านอ่างเก็บน้ำโรงเรียนพลทหาร (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์ฝึกทหารใหม่)  ซึ่งอยู่ลึกจากปากทางถนนสุขุมวิทประมาณ ๒ กม. ผ่าน รร.พลทหาร แล้วลงเนินผ่านศาลเจ้าพ่อเขาช้าง  แล่นขึ้นเนินมะค่า ผ่านจุดรักษาการณ์เนินมะค่า  (นิยมเรียกสั้นๆว่า ยามเนินมะค่า)  ซึ่งจุดรักษาการณ์ทั้งสองจุดนี้จะมีการสอบถามและแลกบัตรประชาชนก่อนที่จะอนุญาตให้เข้า
            เมื่อรถแล่นลงจากเนินมะค่า ทุกคนในรถต่างตื่นตาตื่นใจกับวิวทะเลที่อยู่เบื้องหน้า สามแยกใหญ่หลังจากลงเนินมะค่ามา คือ สามแยกที่มีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งอยู่ที่ริมทางแยกซ้ายมือ  เลยจากแยกนี้ได้สัก ๕๐๐ เมตร จะถึงกองบังคับการ เป็นตึกสีขาวขนาดใหญ่ มีบันไดกว้างด้านหน้าตึกดูอลังการมาก หน้าตึกมีคำสี่คำที่เป็นคำปฏิญาณตนของทหารเรือหน้าแถว คือ “ชาติ เกียรติ วินัย กล้าหาญ”  ตึกนี้ตั้งหันข้างเล็กน้อยกับอ่าวเกล็ดแก้ว   ด้านหน้ากองบังคับการมีลานปูนขนาดใหญ่ (ต่อไปขอเรียกว่า “ลานหน้า บก.”)  เบื้องหน้าของเรา คือ ทะเลสีครามตัดกับท้องฟ้าสดใสกว้างใหญ่สวยงามมาก
            จากลานหน้ากองบังคับการนี้  เลี้ยวซ้ายแล่นผ่านเสาธงมาได้สักระยะ โดยมีทะเลอยู่ด้านขวา จนถึงถนนตรงที่เป็นเขตบ้านพักนายทหารชั้นผู้ใหญ่ริมทะเลที่ห้ามผ่าน เลี้ยวซ้ายขึ้นมาแล้วเลี้ยวขวาซอยที่ ๓ นับจากทะเล   จริงๆมีอีกเส้นทาง แต่เราไปครั้งแรกกลัวหลง  พี่ที่อธิบายทางจึงให้ตั้งต้นที่ บก. ก่อนแล้วแล่นเลาะหาดเกล็ดแก้ว ตั้งต้นนับซอยจากริมทะเล อีกอย่าง คือ สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือให้โทรถาม หรือ โปรแกรมนำทางเหมือนในปัจจุบัน 
            อากู๋ ได้มาส่งที่บ้านพักซึ่งมีรุ่นพี่ทหารเรือเหล่าเดียวกันฝากมาให้พักกับรุ่นพี่ครูภาษา (ครูภาษาอังกฤษ เราเรียกสั้นๆว่าครูภาษา) บ้านที่แม่แก้วได้อยู่นี้เรียกว่า บ้านแฝดซอย ๓ (เป็นซอยที่ ๓ นับจากทะเล) โซนบ้านซอย ๓ นี้มีบ้านแฝดจำนวน ๓ คู่ หรือ ๖ หลัง จัดให้ครูผู้หญิงพักอยู่หลังละ ๒ คน 

            บ้านแฝดในสมัยนั้นเป็นบ้านหลวงที่จัดว่าใหม่กว่าบ้านหลังอื่นๆใน รร.ชุมพลฯ ชั้นล่างมีห้องโถง ห้องน้ำที่ปูกระเบื้อง ๑ ห้อง ห้องน้ำปูนเปลือย ๑ ห้อง  ห้องนอนเล็กๆ  (น่าจะออกแบบสำหรับให้พลทหารนอน)  หลังบ้านมีห้องเก็บของ ห้องครัว ลานซักล้าง ที่ตากผ้า และถังเก็บน้ำ  ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอน ๒ ห้อง ภายในบ้านมีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐาน ได้แก่ ชุดรับแขก เตียง ที่นอน ตู้เสื้อผ้า  ในห้องครัว มีตู้ครัว ตู้กับข้าว พร้อม เรียกว่า หิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย 
            สำหรับเพื่อนนายทหารชายที่บรรจุรุ่นเดียวกัน ๑ นาย ได้ถูกจัดให้พักที่ตึกพักนายทหารโสด หรือ ที่เรียกกันง่ายๆว่า BOQ  (ย่อมาจากคำว่า Bachelor Officer Quarters ) ซึ่งอยู่ถนนริมทะเล  โดยพี่ครูภาษาได้แจ้งให้พ่อบุญครูรุ่นพี่ขี่มอเตอร์ไซด์มารับตัวไปเข้าที่พัก
                    เมื่ออากู๋ได้พาแม่แก้วไปส่งที่บ้านแฝดซอย ๓ เรียบร้อยแล้ว  ก็รีบเดินทางกลับกรุงเทพฯ ด้วยว่าใกล้ค่ำแล้ว ทิ้งแม่แก้วไว้ที่บ้านแฝด พร้อมสัมภาระเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย บรรยากาศที่ รร.ชุมพลฯ ในยามค่ำคืนนี้ มืดและเงียบเหงามาก ตามถนนหนทางไม่ค่อยมีแสงไฟตามทาง  นานๆทีจะมีรถแล่นผ่านหน้าบ้านสักคัน  เรื่องคนเดินไปมาขวักไขว่แบบกรุงเทพฯยิ่งไม่มี เพราะส่วนใหญ่เมื่อมืดค่ำแล้วทุกคนจะพักผ่อนอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน  สร้างความว้าเหว่แก่แม่แก้วซึ่งเคยอยู่กรุงเทพฯ และบ้านครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้องหลายคนเป็นอย่างมาก
            คืนนั้นแม่แก้วจึงหลับไปด้วยความคิดถึงบ้านกรุงเทพฯ และคิดว่าพรุ่งนี้ยังมีเรื่องที่ต้องผจญภัยและเรียนรู้อีกมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น