แผนกแพทย์ มีลักษณะเป็นอาคารแยกตัวออกมาจาก
บก. ห่างสักประมาณเกือบกิโลเห็นจะได้ มีคุณหมอนายทหารที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาประจำอยู่
นอกจากนี้ยังมี หมอฟันที่จบปริญญามา และผู้ช่วยหมอฟัน มีพยาบาล และผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งเป็นข้าราชการเหล่าแพทย์ที่เป็นนายทหารสัญญาบัตร
และประทวนประจำอยู่อีกหลายท่าน (ทหารเรือเรานิยมเรียกเหล่าแพทย์ว่าหมอหมด
ไม่ว่าจะเป็นนายแพทย์ปริญญา หรือเหล่าแพทย์ที่เป็นพยาบาลทั้งชายและหญิง) ในสายตาแม่แก้วแผนกแพทย์เหมือนอนามัยขนาดเล็กประจำตำบล
แต่ต่างจากอนามัยตรงที่มีเตียงให้นักเรียนจ่าที่ป่วยนอนพักรักษาตัวได้
อากาศชายทะเลใน รร.ชุมพลฯ บริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลพิษ
ในช่วงแรกๆที่แม่แก้วไปอยู่ใหม่ๆ จึงไม่เคยเป็นหวัด จะมีป่วยบ้างก็เจ็บคอ
เพราะใช้เสียงสอนนักเรียนหลายชั่วโมงติดต่อกัน (สมัยนั้นไม่มีการใช้ไมโครโฟน) เมื่อป่วยนิดหน่อยจึงรีบไปใช้บริการแผนกแพทย์
เพราะอยากรู้จักคุณหมอซึ่งเป็นหมอที่มาบรรจุใหม่ๆเช่นเดียวกับแม่แก้วและเพื่อนในรุ่น
และไปดูบรรยากาศในแผนกแพทย์ว่าเป็นอย่างไร
แผนกแพทย์ในตอนเช้าดูจะคึกคักเป็นพิเศษ
เพราะเป็นช่วงที่นักเรียนที่เจ็บไข้ได้ป่วยได้รับการจำหน่ายยอดหรืออนุญาตให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา
และรับยากลับมาทาน จึงมีนักเรียนหลายนายนั่งรอเรียกตรวจที่ม้านั่งยาวตรงห้องโถงกลาง
มีทั้งเจ็บป่วยเล็กน้อยๆ จนถึงเจ็บป่วยแบบแขนขาหักเข้าเฝือก
ที่เดินแบบใช้ไม้เท้าค้ำใต้รักแร้ก็มี มองไปด้านซ้ายมือเป็นห้องทำแผล
มีนักเรียนกำลังนั่งให้คุณจ่าพยาบาลชายทำแผล
แม่แก้วชอบแอบมองนักเรียนถูกทำแผล
บรรยากาศ คือ นักเรียนที่บาดเจ็บมีบาดแผลจากอุบัติเหตุในการฝึกหรือเล่นกีฬา จะมานั่งให้หมอล้างแผลและพันผ้าพันแผลใหม่
แต่ที่น่าสยดสยองมากกว่า คือ นักเรียนที่ต้องถอดเล็บ
เพราะบาดเจ็บเล็บขบเล็บถอดที่เท้า คุณหมอจะถอดเล็บเท้าสดๆ (มักเป็นหัวแม่เท้า)
พอดึงเล็บออก เลือดสีแดงแปร๊ดก็ตามออกมา
ไหลลงสู่กระโถนที่รองรับทั้งเลือดและผ้าซับแผล ถอดเล็บเสร็จหมอก็ทายา แล้วพันผ้าพันแผลให้นักเรียน
นักเรียนก็เดินกระโผลกกระเผลกกลับไปเรียนต่อ (สงสารนักเรียน เพราะ
เท้าเจ็บยังต้องเดินไกล)
นักเรียนที่ป่วยนอนพักแผนกแพทย์
มีทั้งแบบที่เป็นโรคติดต่อ เช่น ตาแดง ไข้หวัดใหญ่ และที่ป่วยขาหักเข้าเฝือก
เดินไปเรียนไม่ไหว เรื่องนักเรียนป่วยนี้ มีอยู่คราวหนึ่ง แม่แก้วแวะไปเยี่ยมนักเรียนที่แผนกแพทย์ในตอนเย็น
แล้วเห็นนักเรียนนายหนึ่งกำลังอาเจียนอย่างรุนแรง ด้วยลักษณะอาการตัวดีดเกร็งขึ้นมาอาเจียน
มีคุณหมอคอยดูอาการอยู่ใกล้ๆ ดูน่าเป็นห่วงมาก พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่านักเรียนเสียชีวิตแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา
สาเหตุคือ เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
ในสมัยนั้น นักเรียนจ่าส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนาที่ยากจน
มาเป็นนักเรียนจ่าเอาเหงื่อแลกข้าวแลกเงินเดือน มีบ้านอยู่ทางภาคอีสาน
หรือพื้นที่ห่างไกล จึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน มักรับจ้างเพื่อนที่มีฐานะกว่าเข้าเวรในวันหยุด
นักเรียนที่เสียชีวิตนี้ ก็เช่นเดียวกัน เป็นเด็กยากจน
ที่เรียนดี เงินเดือนที่ได้มาจากการเป็นนักเรียนจ่าแต่ละเดือนจะส่งให้ทางบ้าน
เพื่อเลี้ยงดูส่งเสียยายและน้องที่ไม่มีรายได้อะไร
สาเหตุที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
เกิดจากช่วงปล่อยกลับบ้านไปเล่นกับลูกสุนัขและถูกกัดเป็นแผลถลอกเล็กน้อย
ทำให้ได้รับเชื้อจนเกิดอาการป่วยและเสียชีวิต ทาง รร. ได้ดูแลจัดการทำพิธีศพให้นักเรียนอย่างดี
ที่วัดบางเสร่ มีการรับญาติมางานและดูแลญาติของนักเรียนอย่างดีตลอดช่วงจัดพิธีศพ
ในวันเผาศพนักเรียน แม่แก้วจำได้แม่นเพราะบรรยากาศเศร้ามาก ญาติของนักเรียนร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
เพื่อนนักเรียนยืนแถวไว้อาลัย มีการเป่าแตรนอนให้กับนักเรียนก่อนที่จะทำการฌาปนกิจศพ
เสียงแตรนอนในวันนั้นโหยหวนกว่าทุกวัน เหมือนเป็นการอำลานักเรียนครั้งสุดท้าย
เป็นการนอนหลับครั้งสุดท้ายไม่ต้องตื่นอีกแล้ว ขอให้นอนหลับอย่างสงบ และไปสู่สุคติเถิด
เหตุการณ์สำคัญๆเรื่องการเจ็บป่วยของนักเรียนในช่วงที่แม่แก้วอยู่
รร.ชุมพลฯ ยังมีเรื่องของการติดเชื้อเอดส์ (หรือ HIV) สมัยนั้นเพิ่งจะมีโรคเอดส์อุบัติขึ้นใหม่ๆ
เป็นที่หวาดกลัวและตื่นตัวกันมาก ในยุคนั้นการรู้จักป้องกันยังน้อย จึงมีผู้ติดเชื้อหลายราย
ผู้ป่วยที่แม่แก้วรู้จักจะเห็นว่าค่อยๆป่วย จากที่เคยหล่อเหลา จะป่วยผอมหมองคล้ำไม่มีสง่าราศรีมาทำงาน
จากนั้นก็มาทำงานไม่ไหว ต้องจากไปพักรักษาตัว และได้ข่าวว่าเสียชีวิตตามมาในที่สุด
นักเรียนจ่าก็เช่นกัน ด้วยความที่อยู่ในวัยรุ่นหนุ่มคะนอง
ทาง รร. จึงได้ตรวจเลือดนักเรียนทุกนาย
และผลตรวจเลือดพบว่ามีประมาณสองสามนายมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย ทาง
รร.จึงจำต้องปลดและส่งตัวกลับบ้าน เนื่องจากเป็นโรคติดต่อ
ที่ไม่สามารถให้อยู่ต่อได้ แม่แก้วได้แต่ร่ำลานักเรียนที่ต้องเก็บข้าวเก็บของกลับบ้านหลังจากทราบผลตรวจ
เรื่องราวในตอนนี้ จึงเป็นความทรงจำที่เศร้าๆ
แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่ชีวิตของเราจะมีแต่เรื่องสุขสนุกสนานอย่างเดียว Diary @ เกล็ดแก้ว ในตอนนี้จึงเป็นเรื่องเศร้าที่จำเป็นต้องบันทึกไว้
L
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น