หน้าเว็บ

6/17/2558

ตอนที่ ๔ วันศุกร์แห่งชาติ

              คำว่า "วันศุกร์แห่งชาติ" เป็นคำใหม่ที่แม่แก้วได้ยินมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ไม่รู้ใครคิดคำนี้ขึ้นมา แม่แก้วว่ามันช่างเป็นคำที่เหมาะเจาะกับบรรยากาศในรั้วโรงเรียนทหารแห่งนี้จริงๆ  เช้าวันศุกร์ช่างเป็นวันแห่งความสุขของทั้งครู(ที่อยู่บ้านไกล) และนักเรียนในรร.ชุมพลฯ (ชุดปล่อยกลับบ้าน) ที่จะได้กลับบ้าน
             แม่แก้วชอบวันศุกร์เพราะจะได้กลับบ้านกรุงเทพฯ หลังจากอยู่รร.ชุมพลฯ มาตั้ง ๔ คืน แล้ว (คืนวันจันทร์ ถึงคืนวันพฤหัสบดี)  ไปทำงานใหม่ๆ แม่แก้วนับวันนับคืนรอวันกลับบ้านตั้งแต่วันจันทร์วันแรกของการทำงานในแต่ละสัปดาห์  การกลับบ้านบ่ายวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จึงมีความหมายมากเป็นการได้กลับไปอยู่กับครอบครัว พักผ่อน และนัดเจอเพื่อนฝูงไปเดินห้างสรรพสินค้าตามประสาเด็กที่เติบโตมากับแสงสีในเมืองหลวง
             บรรยากาศโรงเรียนทหารในวันศุกร์มันจึงมีชีวิตชีวา มองทะเลกับท้องฟ้าในเช้าวันศุกร์ช่างสวยงามสดใสมาก  ครูที่สอนนักเรียนวันศุกร์จะรู้ดีว่านักเรียนมีความหวังที่จะได้ปล่อยกลับบ้าน การตระเตรียมเสื้อผ้ารีดลงแป้งให้เรียบ ทำความสะอาดเครื่องหมายต่างๆ ขัดรองเท้ารองเท้าให้เงา สะอาดเรียบร้อย เพื่อให้ผ่านการตรวจอย่างละเอียดจากนายทหารฝึก ก่อนปล่อยกลับบ้าน เป็นเรื่องสำคัญมากในวันศุกร์  ไม่เช่นนั้นสถานการณ์อาจพลิกผันกลายเป็น วันศุกร์แห่งความเศร้า หรือ “วันศุกร์แห่งความระทม” แทนก็เป็นได้ 
             เช้าวันศุกร์  ในห้องเรียนจะมีกลิ่นอบอวลของยาขัดรองเท้าที่นักเรียนนำมาแอบขัดใต้โต๊ะบ้าง ขัดตอนพักระหว่างชั่วโมงบ้าง เรียนไป ขัดไป ยิ่งครูใจดี  ก็ขัดไปฟังครูสอนไป คุยกันไป (จ้อมาก) เรื่องหลับ เรื่องง่วงเหงาหาวนอนในวันศุกร์นี้จะมีน้อยมาก ยิ่งใกล้เที่ยงยิ่งขัดกันใหญ่  กลิ่นของยาขัดรองเท้านี้ เป็นกลิ่นไอแห่งอิสรภาพของโรงเรียนทหารที่ช่างหอมหวนชวนดมจริงๆในวันศุกร์
             การเรียนการสอนในวันศุกร์ในสมัยนั้น จะสอนครึ่งวันเช้า ส่วนตอนบ่ายจะปล่อยนักเรียนที่เป็นชุดปล่อยกลับบ้าน (นักเรียนจะผลัดกันกลับบ้านเป็นชุดๆตามวงรอบ)  ส่วนเพื่อนๆที่ไม่ได้ปล่อยก็พลอยดีใจไปกับเพื่อนที่ได้ปล่อยด้วย ครูที่สอนชั่วโมงสุดท้ายก่อนเที่ยง ควรทำตัวดีๆ ไม่โอ้เอ้ศาลาราย รีบสอนให้เสร็จไวๆ เพราะนักเรียนใจไม่อยู่กับเราแล้ว จะรีบไปเตรียมตัวกลับบ้านท่าเดียว 
             วันศุกร์นี้ นักเรียนจะว่าง่าย เชื่อฟังครู หน้าตาผ่องใส ดวงตาที่เคยหรี่เล็กจะนอนท่าเดียวกลับกลายเป็นตาโตที่มีเป็นประกายสดใส  ด้วยมีความหวังว่าจะได้ออกจากโรงเรียนในหุบเขาไปสู่อิสรภาพ  เรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยเรื่องเล่ากันขำๆ ถึงความเพี้ยนของการแปลงคำปฏิญาณตน จากที่ว่า
                   "ตายเสียดีกว่า  ที่จะละทิ้งหน้าที่" เป็น
                   "ตายเสียดีกว่า  ที่จะอยู่ที่นี่"
             ว่ากันว่านักเรียนพูดเล่นจนติดปาก เผลอนำคำปฏิญาณประโยคหลังไปกล่าวหน้าแถวจริงๆ ถึงกับโดนทำโทษกันไปตามระเบียบ
             หน้าที่ของกองการศึกษาจึงหมดลงในตอนเที่ยงวันศุกร์  พอตกบ่ายนักเรียนทานข้าวกลางวันเสร็จ แต่งเนื้อแต่งตัวหล่อตามชุดเครื่องแบบที่กำหนดให้ปล่อย เป็นชุดกลาสีสีขาวบ้าง ชุดบลู (สีน้ำเงิน) บ้างตามฤดูกาล ลงมาแถวรวมกันที่ลานหน้า บก. จากนั้นก็เป็นการดำเนินกรรมวิธีของกองนักเรียนในการปล่อย ตามแต่นายทหารฝึกในวันนั้นๆจะดูแลสั่งการ ถ้านายทหารฝึกใจดีก็ปล่อยง่ายหน่อย ถ้านายทหารฝึกฝืดก็ลำเค็ญหน่อย (คำว่า ฝืด เป็น คำสแลงอีกเช่นกัน) เมื่อผ่านการตรวจต่างๆ จนได้รับอนุญาตให้ปล่อยแล้ว  นักเรียนก็จะแยกย้ายกันขึ้นรถที่มารับกลับบ้านตามจังหวัดต่างๆ รถนี้ ข้าราชการส่วนหนึ่งหารายได้โดยการรับนักเรียนไปส่งตามจังหวัดที่ตัวเองอยู่ กล่าวคือ กลับบ้านด้วยได้ค่าน้ำมันรถด้วย ส่วนนักเรียนก็สะดวกได้นั่งรถราคาไม่แพงรับส่งถึงที่กลับบ้าน
             เบื้องหลังความสุขของการได้ปล่อยกลับบ้าน ก็ยังมีความเศร้า ความผิดหวัง ของนักเรียนส่วนหนึ่งที่ไม่ผ่านการตรวจ หรือมีโทษไม่ได้กลับบ้าน ถึงกับฝันสลายคอตกไป  (เรื่องมันเศร้ามากจริงๆ)  แต่ยังไงเขาก็ยังมีเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันและมีเพื่อนที่ไม่ได้เป็นชุดปล่อยเป็นเพื่อนอยู่โยงเฝ้าโรงเรียน  เรื่องนี้ เป็นการฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งรับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาของนักเรียนทหาร ที่ต้องพร้อมปฏิบัติงานทุกเมื่อ ในทุกสถานการณ์  เพราะเราฝึกให้เขามีความเข้มแข็ง เสียสละ ยอมสละได้แม้กระทั่งเลือดเนื้อและลมหายใจ เพื่อความมั่นคงเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติ            
             สำหรับครูแก้วพอสอนเสร็จแล้ว จะกลับบ้านแฝดซอย ๓ ไปอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนชุดเครื่องแบบเป็นชุดพลเรือน แล้วนั่งคอยเวลารถยนต์โดยสารขนาดใหญ่(รถบัส) ของ รร. มารับที่หน้าบ้าน เวลา ๑๔๐๐ รถบัสนี้จะวิ่งรับตามเส้นทางที่กำหนด เพื่อรับข้าราชการที่จะกลับกรุงเทพฯที่รอขึ้นตามจุดต่างๆที่รถผ่าน  รถไปส่งที่กรุงเทพฯนี้ จะไปสุดทางที่ท่าราชวรดิษฐ์ (อยู่แถวท่าช้าง ใกล้กับวัดพระแก้วและท้องสนามหลวง) ค่ารถราคาถูกมาก เพียงเที่ยวละ ๑๐ บาทต่อนาย สมัยนั้นรถไม่มีแอร์ เวลารถแล่นก็เย็นสบาย เวลารถติดในเมืองก็ร้อนหน่อย
             ช่วงพักบ้านที่กรุงเทพฯนี้ แม่แก้วจะนอนหลับสนิทมาก หลับได้เรื่อยๆตลอดวัน ตื่นสายมากินข้าว แล้วก็หลับต่อ บ่ายๆก็นอนอีก อีกวันก็นัดเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า  ที่เป็นเช่นนี้เพราะตอนอยู่บ้านพักที่  รร.ชุมพลฯ นอนไม่ค่อยหลับ เพราะไม่คุ้นสถานที่ และความเงียบที่เงียบเกินไป แม่แก้วคิดว่าตัวเองติดนิสัยนอนในเมืองที่มีเสียงจอแจ แต่ถามใครเขาดูเขาก็หลับกันสบายทุกคน เหมือนแม่แก้วเป็นโรคนี้อยู่คนเดียว
             และแล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ก็หมดลง เราต้องกลับไปทำงานที่ รร.ชุมพลฯอีกครั้งในเช้ามืดวันจันทร์   รถบัสของ รร.ชุมพลฯ จะวิ่งปุเลงปุเลงออกจากท่าราชฯ  ตอนตีห้าครึ่งอย่างตรงเวลาเป๊ะ (ทหารเรือมีนิสัยที่ตรงเวลามาก ทั้งการออกเรือออกแพ รถรานี้ก็เช่นกันนัดหมายต่างๆจะตรงต่อเวลามาก)  แม่แก้วงัวเงียตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งเนื้อแต่งตัว (หลังจากฝันร้ายว่าตื่นไม่ทันมาขึ้นรถ หรือตกรถอยู่บ่อยๆ)  รีบขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์คันเก่าของพี่ชายมาส่งที่ท่าราชฯ พอขึ้นนั่งประจำที่นั่งในรถได้  ก็ตั้งหน้าตั้งตาหลับต่อบนรถ  ด้วยเป้าหมายหลักว่าต้องการรักษาความง่วงไว้ให้นานที่สุด  จนมาตื่นเอาตรงสุดทางที่พัทยา รถบัสลดความเร็วเข้าถนนขรุขระสะเทือนจนหัวสั่นหัวคลอนมาสัตหีบ รถมาส่งถึงหน้าบ้านแฝดซอย ๓ ประมาณ ๐๗๔๕ จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน
             เรื่องวันจันทร์นี้ แม่แก้วคงมีอารมณ์เดียวกับนักเรียน วันจันทร์เป็นวันแห่งความง่วง และคิดถึงบ้านที่จากมา (จิตวิญญาณของเราคงยังสิงสถิตย์อยู่ที่บ้านเป็นแน่แท้)  อีกตั้งหลายวันกว่าจะวันศุกร์ ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อแท้  ในโรงเรียนหลังเขาแห่งนี้  ครูกับนักเรียนจึงช่วยกันปลอบใจตัวเองตามแบบฉบับทหารอย่างเราที่ถือคติเดียวกันว่า "วันนี้ไม่นับ วันกลับไม่คิด" ดังนั้นจึงเหลืออีกเพียง ๓ วัน คือ วันอังคาร วันพุธ และวันพฤหัสบดี ก็จะถึงวันศุกร์ที่จะได้กลับบ้านรอบใหม่อีกครั้ง : (

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น