คำว่า
"วันศุกร์แห่งชาติ"
เป็นคำใหม่ที่แม่แก้วได้ยินมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ไม่รู้ใครคิดคำนี้ขึ้นมา
แม่แก้วว่ามันช่างเป็นคำที่เหมาะเจาะกับบรรยากาศในรั้วโรงเรียนทหารแห่งนี้จริงๆ
เช้าวันศุกร์ช่างเป็นวันแห่งความสุขของทั้งครู(ที่อยู่บ้านไกล)
และนักเรียนในรร.ชุมพลฯ (ชุดปล่อยกลับบ้าน) ที่จะได้กลับบ้าน
แม่แก้วชอบวันศุกร์เพราะจะได้กลับบ้านกรุงเทพฯ
หลังจากอยู่รร.ชุมพลฯ มาตั้ง ๔ คืน แล้ว (คืนวันจันทร์ ถึงคืนวันพฤหัสบดี) ไปทำงานใหม่ๆ
แม่แก้วนับวันนับคืนรอวันกลับบ้านตั้งแต่วันจันทร์วันแรกของการทำงานในแต่ละสัปดาห์ การกลับบ้านบ่ายวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์
จึงมีความหมายมากเป็นการได้กลับไปอยู่กับครอบครัว พักผ่อน
และนัดเจอเพื่อนฝูงไปเดินห้างสรรพสินค้าตามประสาเด็กที่เติบโตมากับแสงสีในเมืองหลวง
บรรยากาศโรงเรียนทหารในวันศุกร์มันจึงมีชีวิตชีวา
มองทะเลกับท้องฟ้าในเช้าวันศุกร์ช่างสวยงามสดใสมาก
ครูที่สอนนักเรียนวันศุกร์จะรู้ดีว่านักเรียนมีความหวังที่จะได้ปล่อยกลับบ้าน
การตระเตรียมเสื้อผ้ารีดลงแป้งให้เรียบ ทำความสะอาดเครื่องหมายต่างๆ
ขัดรองเท้ารองเท้าให้เงา สะอาดเรียบร้อย
เพื่อให้ผ่านการตรวจอย่างละเอียดจากนายทหารฝึก ก่อนปล่อยกลับบ้าน
เป็นเรื่องสำคัญมากในวันศุกร์ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์อาจพลิกผันกลายเป็น “วันศุกร์แห่งความเศร้า” หรือ “วันศุกร์แห่งความระทม”
แทนก็เป็นได้
เช้าวันศุกร์
ในห้องเรียนจะมีกลิ่นอบอวลของยาขัดรองเท้าที่นักเรียนนำมาแอบขัดใต้โต๊ะบ้าง
ขัดตอนพักระหว่างชั่วโมงบ้าง เรียนไป ขัดไป ยิ่งครูใจดี ก็ขัดไปฟังครูสอนไป คุยกันไป (จ้อมาก) เรื่องหลับ
เรื่องง่วงเหงาหาวนอนในวันศุกร์นี้จะมีน้อยมาก ยิ่งใกล้เที่ยงยิ่งขัดกันใหญ่ กลิ่นของยาขัดรองเท้านี้
เป็นกลิ่นไอแห่งอิสรภาพของโรงเรียนทหารที่ช่างหอมหวนชวนดมจริงๆในวันศุกร์
การเรียนการสอนในวันศุกร์ในสมัยนั้น
จะสอนครึ่งวันเช้า ส่วนตอนบ่ายจะปล่อยนักเรียนที่เป็นชุดปล่อยกลับบ้าน
(นักเรียนจะผลัดกันกลับบ้านเป็นชุดๆตามวงรอบ)
ส่วนเพื่อนๆที่ไม่ได้ปล่อยก็พลอยดีใจไปกับเพื่อนที่ได้ปล่อยด้วย
ครูที่สอนชั่วโมงสุดท้ายก่อนเที่ยง ควรทำตัวดีๆ ไม่โอ้เอ้ศาลาราย
รีบสอนให้เสร็จไวๆ เพราะนักเรียนใจไม่อยู่กับเราแล้ว
จะรีบไปเตรียมตัวกลับบ้านท่าเดียว
วันศุกร์นี้ นักเรียนจะว่าง่าย
เชื่อฟังครู หน้าตาผ่องใส
ดวงตาที่เคยหรี่เล็กจะนอนท่าเดียวกลับกลายเป็นตาโตที่มีเป็นประกายสดใส ด้วยมีความหวังว่าจะได้ออกจากโรงเรียนในหุบเขาไปสู่อิสรภาพ เรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยเรื่องเล่ากันขำๆ
ถึงความเพี้ยนของการแปลงคำปฏิญาณตน จากที่ว่า
"ตายเสียดีกว่า ที่จะละทิ้งหน้าที่" เป็น
"ตายเสียดีกว่า ที่จะอยู่ที่นี่"
ว่ากันว่านักเรียนพูดเล่นจนติดปาก
เผลอนำคำปฏิญาณประโยคหลังไปกล่าวหน้าแถวจริงๆ ถึงกับโดนทำโทษกันไปตามระเบียบ
หน้าที่ของกองการศึกษาจึงหมดลงในตอนเที่ยงวันศุกร์
พอตกบ่ายนักเรียนทานข้าวกลางวันเสร็จ
แต่งเนื้อแต่งตัวหล่อตามชุดเครื่องแบบที่กำหนดให้ปล่อย เป็นชุดกลาสีสีขาวบ้าง
ชุดบลู (สีน้ำเงิน) บ้างตามฤดูกาล ลงมาแถวรวมกันที่ลานหน้า บก.
จากนั้นก็เป็นการดำเนินกรรมวิธีของกองนักเรียนในการปล่อย
ตามแต่นายทหารฝึกในวันนั้นๆจะดูแลสั่งการ ถ้านายทหารฝึกใจดีก็ปล่อยง่ายหน่อย
ถ้านายทหารฝึกฝืดก็ลำเค็ญหน่อย (คำว่า “ฝืด” เป็น คำสแลงอีกเช่นกัน) เมื่อผ่านการตรวจต่างๆ
จนได้รับอนุญาตให้ปล่อยแล้ว นักเรียนก็จะแยกย้ายกันขึ้นรถที่มารับกลับบ้านตามจังหวัดต่างๆ
รถนี้ ข้าราชการส่วนหนึ่งหารายได้โดยการรับนักเรียนไปส่งตามจังหวัดที่ตัวเองอยู่
กล่าวคือ กลับบ้านด้วยได้ค่าน้ำมันรถด้วย ส่วนนักเรียนก็สะดวกได้นั่งรถราคาไม่แพงรับส่งถึงที่กลับบ้าน
เบื้องหลังความสุขของการได้ปล่อยกลับบ้าน
ก็ยังมีความเศร้า ความผิดหวัง ของนักเรียนส่วนหนึ่งที่ไม่ผ่านการตรวจ
หรือมีโทษไม่ได้กลับบ้าน ถึงกับฝันสลายคอตกไป
(เรื่องมันเศร้ามากจริงๆ)
แต่ยังไงเขาก็ยังมีเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกันและมีเพื่อนที่ไม่ได้เป็นชุดปล่อยเป็นเพื่อนอยู่โยงเฝ้าโรงเรียน เรื่องนี้
เป็นการฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งรับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาของนักเรียนทหาร
ที่ต้องพร้อมปฏิบัติงานทุกเมื่อ ในทุกสถานการณ์
เพราะเราฝึกให้เขามีความเข้มแข็ง เสียสละ
ยอมสละได้แม้กระทั่งเลือดเนื้อและลมหายใจ เพื่อความมั่นคงเป็นปึกแผ่นของประเทศชาติ
สำหรับครูแก้วพอสอนเสร็จแล้ว จะกลับบ้านแฝดซอย
๓ ไปอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนชุดเครื่องแบบเป็นชุดพลเรือน
แล้วนั่งคอยเวลารถยนต์โดยสารขนาดใหญ่(รถบัส) ของ รร. มารับที่หน้าบ้าน เวลา ๑๔๐๐
รถบัสนี้จะวิ่งรับตามเส้นทางที่กำหนด เพื่อรับข้าราชการที่จะกลับกรุงเทพฯที่รอขึ้นตามจุดต่างๆที่รถผ่าน รถไปส่งที่กรุงเทพฯนี้
จะไปสุดทางที่ท่าราชวรดิษฐ์ (อยู่แถวท่าช้าง ใกล้กับวัดพระแก้วและท้องสนามหลวง)
ค่ารถราคาถูกมาก เพียงเที่ยวละ ๑๐ บาทต่อนาย สมัยนั้นรถไม่มีแอร์
เวลารถแล่นก็เย็นสบาย เวลารถติดในเมืองก็ร้อนหน่อย
ช่วงพักบ้านที่กรุงเทพฯนี้
แม่แก้วจะนอนหลับสนิทมาก หลับได้เรื่อยๆตลอดวัน ตื่นสายมากินข้าว แล้วก็หลับต่อ
บ่ายๆก็นอนอีก
อีกวันก็นัดเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า ที่เป็นเช่นนี้เพราะตอนอยู่บ้านพักที่ รร.ชุมพลฯ นอนไม่ค่อยหลับ
เพราะไม่คุ้นสถานที่ และความเงียบที่เงียบเกินไป
แม่แก้วคิดว่าตัวเองติดนิสัยนอนในเมืองที่มีเสียงจอแจ
แต่ถามใครเขาดูเขาก็หลับกันสบายทุกคน เหมือนแม่แก้วเป็นโรคนี้อยู่คนเดียว
และแล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ก็หมดลง
เราต้องกลับไปทำงานที่ รร.ชุมพลฯอีกครั้งในเช้ามืดวันจันทร์ รถบัสของ รร.ชุมพลฯ
จะวิ่งปุเลงปุเลงออกจากท่าราชฯ ตอนตีห้าครึ่งอย่างตรงเวลาเป๊ะ
(ทหารเรือมีนิสัยที่ตรงเวลามาก ทั้งการออกเรือออกแพ
รถรานี้ก็เช่นกันนัดหมายต่างๆจะตรงต่อเวลามาก) แม่แก้วงัวเงียตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งเนื้อแต่งตัว
(หลังจากฝันร้ายว่าตื่นไม่ทันมาขึ้นรถ หรือตกรถอยู่บ่อยๆ)
รีบขึ้นซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์คันเก่าของพี่ชายมาส่งที่ท่าราชฯ พอขึ้นนั่งประจำที่นั่งในรถได้
ก็ตั้งหน้าตั้งตาหลับต่อบนรถ ด้วยเป้าหมายหลักว่าต้องการรักษาความง่วงไว้ให้นานที่สุด จนมาตื่นเอาตรงสุดทางที่พัทยา รถบัสลดความเร็วเข้าถนนขรุขระสะเทือนจนหัวสั่นหัวคลอนมาสัตหีบ
รถมาส่งถึงหน้าบ้านแฝดซอย ๓ ประมาณ ๐๗๔๕ จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน
เรื่องวันจันทร์นี้
แม่แก้วคงมีอารมณ์เดียวกับนักเรียน วันจันทร์เป็นวันแห่งความง่วง
และคิดถึงบ้านที่จากมา (จิตวิญญาณของเราคงยังสิงสถิตย์อยู่ที่บ้านเป็นแน่แท้) อีกตั้งหลายวันกว่าจะวันศุกร์
ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อแท้ ในโรงเรียนหลังเขาแห่งนี้
ครูกับนักเรียนจึงช่วยกันปลอบใจตัวเองตามแบบฉบับทหารอย่างเราที่ถือคติเดียวกันว่า
"วันนี้ไม่นับ วันกลับไม่คิด" ดังนั้นจึงเหลืออีกเพียง ๓ วัน คือ
วันอังคาร วันพุธ และวันพฤหัสบดี ก็จะถึงวันศุกร์ที่จะได้กลับบ้านรอบใหม่อีกครั้ง : (
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น