เช้าวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๗ คณะกองทัพธรรมออกเดินทางไปทำพิธีบรรพชา ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทหาร-ตำรวจชาย สวมชุดพ่อนาค เตรียมเข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ส่วนทหาร-ตำรวจหญิง สวมชุดสีกรักเตรียมเข้าพิธีบวชเป็นพรหมจาริณี พวกเราลงจากรถบัสก่อนถึงพุทธคยาประมาณ ๕๐๐ เมตร เพื่อเดินเรียงแถวไปตามถนน เสียงคุณแม่ดังผ่านเครื่องขยายเสียงเร่งให้พวกเราลงจากรถ และเดินเป็นแถว
เนื่องจากคณะเราเป็นคณะใหญ่ต้องควบคุมเวลาให้ได้ตามกำหนดการ
น่าแปลกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคุณแม่เร่ง จิตของผู้เขียนจะรวมตั้งมั่นเข้าสู่ภายในโดยอัตโนมัติ แม้กายภายนอกขยับรีบเร่งแต่ภายในกลับไม่เคลื่อนและตั้งมั่น
นี่คงเป็นกำลังของครูบาอาจารย์แน่แท้
ใจเรารับรู้ได้ว่า ท่านเร่งเราด้วยเมตตา
แสงแดดในเวลาแปดโมงเช้าแรงมาก
กองทัพธรรมกว่าสองร้อยชีวิต พ่อนาค ทหาร-ตำรวจชายเดินเท้าเปล่า ทหาร-ตำรวจหญิงซึ่งห่มผ้าสีกรักแล้วบางท่านมีถุงเท้า บางท่านก็เดินเท้าเปล่าเช่นกัน พื้นถนนเริ่มร้อน การเดินนี้จึงต้องใช้สติระลึกรู้รูปกายที่เดิน และมีความรู้ตัวรับรู้ถึงสัมผัสของเท้ากับพื้นถนนที่เป็นหินกรวดทุกย่างก้าว ทุกนายเดินอย่างสำรวมรักษาระยะต่อระยะเคียงเหมือนที่เคยได้รับการฝึกมา ในมือประคองธูปเทียนและดอกบัวดอกน้อยด้วยใจที่มุ่งมั่น
วันนี้พวกเราจะเข้าพิธีบวชแล้ว ความร้อน และความแข็งของพื้นถนนที่ขรุขระดูจะไม่เป็นอุปสรรคต่อจิตใจที่มุ่งมั่นของคณะกองทัพธรรมนี้
เมื่อเข้าสู่เขตพุทธคยา
พ่อนาคได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณรก่อน ฝ่ายหญิงที่รอเข้าพิธีบวชต่อจากพ่อนาค ได้คอยอนุโมทนาบุญกับพ่อนาคที่ผ่านการบรรพชาเป็นสามเณรเป็นชุดๆในที่สุดพ่อนาคกว่าสองร้อยท่านก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรครบเมื่อเวลาประมาณ
๑๑.๐๐ น.
ตอนนั้นผู้เขียนลุ้นในใจว่า
ใกล้เพลเต็มทีแล้ว เขาจะบวชให้เราไหมหนอ
สายตาเหลือบดูธูปเทียนและดอกบัวดอกน้อยเป็นระยะ เทียนเล่มที่เคยตรงตอนนี้งอ
ดอกบัวที่เมื่อเช้ารับมายังสดสวยอยู่
ตอนนี้ก้านของมันงอหักลง กลีบดอกด้านนอกเหี่ยวย่น
เพราะผ่านการเดินกลางแสงแดดเมื่อเช้า วาสนาเราผู้หญิงนี่คงน้อยจริงๆ
เสียงหลวงตาถามคุณแม่ว่าจะบวชพรหมจาริณีต่อเลยไหม
คุณแม่ดูเวลาแล้วเห็นว่าไม่ทันเพลแน่จึงบอกว่า "ไว้มาบวชกันตอน ทำวัตรเย็นนะ"
คณะกองทัพธรรมจึงเดินทางออกจากพุทธคยากลับมาฉันเพล ณ โรงแรมที่พัก
ช่วงบ่ายสามเณรใหม่ ทยอยกันออกเดินทางไปเป็นชุดๆเพื่อไปเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ
พัทธสีมาวัดไทยพุทธคยา การบวชนี้จะบวชไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จ ซึ่งใช้เวลาประมาณ ๒
วัน
และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง
ช่วงเย็นเราออกเดินทางไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นและเข้าพิธีบวชเป็นพรหมจาริณีอีกครั้ง
ผู้เขียนประคองธูปเทียนและดอกบัวน้อยในมือที่พนมตั้งใจกล่าวคำขอสิกขาเป็นแม่พรหมจาริณี ถึงเวลานี้
ดอกบัวน้อยเจ้าช่างน่าสงสาร กลีบดอกย่นเหี่ยว บางกลีบเริ่มดำ
ก้านดอกบัวหักงอจนแทบจะไม่เหลือความสวยงาม เหมือนจะแสดงธรรมให้เราเห็นถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และให้เจริญมรณานุสติเพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่นในสมมุติทั้งปวง
ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งนี้
แสงสว่างยามเย็นเริ่มหมดลง หลวงตา ทั้งสอง (พระราชปัญญาเมธี
และพระธรรมโมลี ญาณวิสุทโธ) กล่าวนำคำกล่าวขอสิกขา
ท่านมองไม่ค่อยเห็นเพราะเริ่มค่ำแล้ว หลวงตาถึงกับรำพึงขึ้นมาดังๆว่า"เออหนอ พวกผู้หญิงนี้ช่างบุญน้อยจริงๆ กว่าจะได้บวชก็มืดค่ำจนมองอะไรแทบไม่เห็นแล้ว"
เมื่อจบคำกล่าวขอสิกขาเป็นพรหมจาริณี ผู้เขียนบอกกับตัวเองว่า
เราเกิดใหม่แล้วในเพศพรหมจาริณี ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า
มีโอกาสบรรลุธรรมได้เหมือนกัน ขอเพียงเราเร่งความเพียรชอบ
และมีความตั้งใจไม่ท้อถอยเป็นพอ
หลังเสร็จพิธี
หลวงตาทั้งสองได้เมตตาแสดงธรรมโปรดแม่ๆพรหมจาริณีใหม่ (ต่อไปผู้เขียนจะใช้คำว่า"แม่ใหม่" แทนแม่พรหมจาริณีทหาร-ตำรวจหญิง และใช้คำว่า "แม่เก่า" แทนแม่พรหมจาริณีพี่เลี้ยง) ท่านเล่าถึงประวัติของภิกษุณี ที่ไม่มีแล้วเนื่องจากมีข้อกำหนดมากมายในการบวช รวมถึงการรักษาศีลกว่าสามร้อยข้อ พุทธบริษัท ๔ ที่ประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกา โดยขณะนี้เหมือนโต๊ะที่มี ๓ ขา ไม่มั่นคงด้วยขาดภิกษุณี หลวงตายังเล่าถึงการบวชของผู้หญิง นักบวชหญิงในบ้านเราที่ยังไม่มีกฏหมายรองรับ ขณะที่พระสงฆ์มีระเบียบ มีกฏที่เขียนไว้แล้ว ท่านกล่าวอธิบายถึงที่มาของคำว่าพรหมจาริณี
มากจากคำที่ว่า ฝ่ายพระบวชแล้ว เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ฝ่ายหญิงจึงใช้คำว่า
"พรหมจาริณี" ซึ่งได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะสงฆ์แล้ว
ในใจของผู้เขียนนั้นคิดว่าไม่เป็นไร วันนี้เราได้บวชแล้ว ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เสมือนได้บวชต่อหน้าพระพุทธองค์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ จะนุ่งขาว
หรือนุ่งสีกรัก จะโกนหัว ไม่โกนหัว จะชาย จะหญิง ล้วนเป็นสมมุติภายนอกทั้งนั้น ที่บวชนั่นคือ เราบวชที่ใจ บวชด้วยใจ ใช้ใจ ตั้งใจบวช ตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจจาริกแสวงบุญตามรอยบาทพระศาสดา ณ ดินแดนพุทธภูมิ แห่งนี้ต่างหาก นี่เป็นเหตุผลที่เรามา ณ ที่แห่งนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น