หน้าเว็บ

8/15/2558

นักบวชสตรี ๘. การบวชใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์



           เช้าวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๗ คณะกองทัพธรรมออกเดินทางไปทำพิธีบรรพชา ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทหาร-ตำรวจชาย สวมชุดพ่อนาค  เตรียมเข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร  ส่วนทหาร-ตำรวจหญิง สวมชุดสีกรักเตรียมเข้าพิธีบวชเป็นพรหมจาริณี พวกเราลงจากรถบัสก่อนถึงพุทธคยาประมาณ ๕๐๐ เมตร เพื่อเดินเรียงแถวไปตามถนน เสียงคุณแม่ดังผ่านเครื่องขยายเสียงเร่งให้พวกเราลงจากรถ และเดินเป็นแถว เนื่องจากคณะเราเป็นคณะใหญ่ต้องควบคุมเวลาให้ได้ตามกำหนดการ น่าแปลกทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคุณแม่เร่ง จิตของผู้เขียนจะรวมตั้งมั่นเข้าสู่ภายในโดยอัตโนมัติ แม้กายภายนอกขยับรีบเร่งแต่ภายในกลับไม่เคลื่อนและตั้งมั่น นี่คงเป็นกำลังของครูบาอาจารย์แน่แท้  ใจเรารับรู้ได้ว่า ท่านเร่งเราด้วยเมตตา
          แสงแดดในเวลาแปดโมงเช้าแรงมาก กองทัพธรรมกว่าสองร้อยชีวิต พ่อนาค ทหาร-ตำรวจชายเดินเท้าเปล่า ทหาร-ตำรวจหญิงซึ่งห่มผ้าสีกรักแล้วบางท่านมีถุงเท้า บางท่านก็เดินเท้าเปล่าเช่นกัน พื้นถนนเริ่มร้อน การเดินนี้จึงต้องใช้สติระลึกรู้รูปกายที่เดิน และมีความรู้ตัวรับรู้ถึงสัมผัสของเท้ากับพื้นถนนที่เป็นหินกรวดทุกย่างก้าว ทุกนายเดินอย่างสำรวมรักษาระยะต่อระยะเคียงเหมือนที่เคยได้รับการฝึกมา ในมือประคองธูปเทียนและดอกบัวดอกน้อยด้วยใจที่มุ่งมั่น วันนี้พวกเราจะเข้าพิธีบวชแล้ว ความร้อน และความแข็งของพื้นถนนที่ขรุขระดูจะไม่เป็นอุปสรรคต่อจิตใจที่มุ่งมั่นของคณะกองทัพธรรมนี้
          เมื่อเข้าสู่เขตพุทธคยา พ่อนาคได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณรก่อน ฝ่ายหญิงที่รอเข้าพิธีบวชต่อจากพ่อนาค ได้คอยอนุโมทนาบุญกับพ่อนาคที่ผ่านการบรรพชาเป็นสามเณรเป็นชุดๆในที่สุดพ่อนาคกว่าสองร้อยท่านก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรครบเมื่อเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น.
          ตอนนั้นผู้เขียนลุ้นในใจว่า ใกล้เพลเต็มทีแล้ว เขาจะบวชให้เราไหมหนอ สายตาเหลือบดูธูปเทียนและดอกบัวดอกน้อยเป็นระยะ เทียนเล่มที่เคยตรงตอนนี้งอ ดอกบัวที่เมื่อเช้ารับมายังสดสวยอยู่  ตอนนี้ก้านของมันงอหักลง กลีบดอกด้านนอกเหี่ยวย่น เพราะผ่านการเดินกลางแสงแดดเมื่อเช้า วาสนาเราผู้หญิงนี่คงน้อยจริงๆ  เสียงหลวงตาถามคุณแม่ว่าจะบวชพรหมจาริณีต่อเลยไหม คุณแม่ดูเวลาแล้วเห็นว่าไม่ทันเพลแน่จึงบอกว่า "ไว้มาบวชกันตอน ทำวัตรเย็นนะ"  คณะกองทัพธรรมจึงเดินทางออกจากพุทธคยากลับมาฉันเพล ณ โรงแรมที่พัก
          ช่วงบ่ายสามเณรใหม่ ทยอยกันออกเดินทางไปเป็นชุดๆเพื่อไปเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดไทยพุทธคยา การบวชนี้จะบวชไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสร็จ ซึ่งใช้เวลาประมาณ ๒ วัน
          และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ช่วงเย็นเราออกเดินทางไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นและเข้าพิธีบวชเป็นพรหมจาริณีอีกครั้ง ผู้เขียนประคองธูปเทียนและดอกบัวน้อยในมือที่พนมตั้งใจกล่าวคำขอสิกขาเป็นแม่พรหมจาริณี ถึงเวลานี้ ดอกบัวน้อยเจ้าช่างน่าสงสาร กลีบดอกย่นเหี่ยว บางกลีบเริ่มดำ ก้านดอกบัวหักงอจนแทบจะไม่เหลือความสวยงาม เหมือนจะแสดงธรรมให้เราเห็นถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และให้เจริญมรณานุสติเพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่นในสมมุติทั้งปวง
           ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แห่งนี้  แสงสว่างยามเย็นเริ่มหมดลง หลวงตา ทั้งสอง (พระราชปัญญาเมธี และพระธรรมโมลี ญาณวิสุทโธ) กล่าวนำคำกล่าวขอสิกขา ท่านมองไม่ค่อยเห็นเพราะเริ่มค่ำแล้ว หลวงตาถึงกับรำพึงขึ้นมาดังๆว่า
          "เออหนอ พวกผู้หญิงนี้ช่างบุญน้อยจริงๆ กว่าจะได้บวชก็มืดค่ำจนมองอะไรแทบไม่เห็นแล้ว"
         
          เมื่อจบคำกล่าวขอสิกขาเป็นพรหมจาริณี  ผู้เขียนบอกกับตัวเองว่า เราเกิดใหม่แล้วในเพศพรหมจาริณี ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ว่า มีโอกาสบรรลุธรรมได้เหมือนกัน ขอเพียงเราเร่งความเพียรชอบ และมีความตั้งใจไม่ท้อถอยเป็นพอ
          หลังเสร็จพิธี หลวงตาทั้งสองได้เมตตาแสดงธรรมโปรดแม่ๆพรหมจาริณีใหม่ (ต่อไปผู้เขียนจะใช้คำว่า"แม่ใหม่" แทนแม่พรหมจาริณีทหาร-ตำรวจหญิง และใช้คำว่า "แม่เก่า" แทนแม่พรหมจาริณีพี่เลี้ยง) ท่านเล่าถึงประวัติของภิกษุณี ที่ไม่มีแล้วเนื่องจากมีข้อกำหนดมากมายในการบวช รวมถึงการรักษาศีลกว่าสามร้อยข้อ พุทธบริษัท ๔ ที่ประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา โดยขณะนี้เหมือนโต๊ะที่มี ๓ ขา ไม่มั่นคงด้วยขาดภิกษุณี หลวงตายังเล่าถึงการบวชของผู้หญิง  นักบวชหญิงในบ้านเราที่ยังไม่มีกฏหมายรองรับ ขณะที่พระสงฆ์มีระเบียบ มีกฏที่เขียนไว้แล้ว ท่านกล่าวอธิบายถึงที่มาของคำว่าพรหมจาริณี มากจากคำที่ว่า ฝ่ายพระบวชแล้ว เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ฝ่ายหญิงจึงใช้คำว่า "พรหมจาริณี" ซึ่งได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะสงฆ์แล้ว
          ในใจของผู้เขียนนั้นคิดว่าไม่เป็นไร วันนี้เราได้บวชแล้ว ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เสมือนได้บวชต่อหน้าพระพุทธองค์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ จะนุ่งขาว หรือนุ่งสีกรัก จะโกนหัว ไม่โกนหัว จะชาย จะหญิง ล้วนเป็นสมมุติภายนอกทั้งนั้น ที่บวชนั่นคือ เราบวชที่ใจ บวชด้วยใจ ใช้ใจ ตั้งใจบวช ตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจจาริกแสวงบุญตามรอยบาทพระศาสดา ณ ดินแดนพุทธภูมิ แห่งนี้ต่างหาก นี่เป็นเหตุผลที่เรามา ณ ที่แห่งนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น