หน้าเว็บ

8/08/2558

ตอนที่ ๒๐ การทำประมงในเกล็ดแก้ว

            ในตอนที่ผ่านมา แม่แก้วได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับป่าเขาลำเนาไพร งู และสัตว์ต่างๆในเกล็ดแก้วไปแล้ว  ตอนนี้จึงจะขอเล่าเรื่องทะเลๆบ้าง
           เกล็ดแก้วด้านที่ติดกับทะเล คือ “อ่าวเกล็ดแก้ว” เป็นอ่าวโค้ง มีความยาวประมาณกิโลเมตรกว่าๆ    การมีชายหาดที่ยาวสักกิโลเมตรกว่าๆนี้  ทำให้ข้าราชการ ลูกจ้าง และครอบครัว ที่พักอาศัยใน รร. ชุมพลฯ มีอาชีพเสริมในการการทำประมงกันมากมาย รวมถึงนักเรียนจ่าเองก็แอบทำประมงกับเขาด้วยเหมือนกัน
           ชายหาดเกล็ดแก้วมีเรือประมงเล็กๆหลายลำของพ่อบ้านทหารเรือจอดอยู่ ไต้ก๋งทหารเรือที่มีเรือเองนี้หาปลาเก่งมาก ตกเย็นก็ออกหาปลา ปู หมึก กลับมาดึกหน่อย เช้าก็มาทำงานตามปกติ  วันหยุดหรือบางวันก็ออกเรือกลางคืนแล้วกลับมาเช้าเลย ใครอยากกินอาหารทะเล ปลา ปู หมึกสดๆ ก็จะไปบอกเจ้าของเรือไว้ล่วงหน้า ให้แวะมาให้ที่บ้านตอนเช้า แล้วจ่ายเงินจ่ายทองเป็นค่าอาหารทะเลสดๆนี้ในราคาถูกมาก
           ทหารเรือบางนายก็นิยมออกไปกับเรือประมง ไปตกปลาแถวปากอ่าวเกล็ดแก้ว ได้ปลามากมาย ปลาที่หลักๆที่เห็นจะเป็นปลาทรายตัวแดงๆ นอกจากนี้ในบางฤดูกาล จะมีปลาโฉมงามตัวสวยในอ่าวให้จับมากิน
           “คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล”  พี่ทหารเรือที่แม่แก้วรู้จักคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า  พาญาติเที่ยว โดยว่าเรือประมงออกไปหาปลาในตอนกลางคืน โชคไม่ดีคืนนั้นพายุเข้าคลื่นลมแรง เรือเลยล่มตรงปากอ่าวเกล็ดแก้ว คนบนเรือต้องลงไปว่ายน้ำลอยคออยู่ในน้ำทะเล อาศัยเกาะกระติกน้ำบ้าง สิ่งของที่ลอยน้ำบ้าง อยู่เป็นชั่วโมง กว่าจะมีเรือประมงแล่นผ่านมาช่วยเหลือ โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรไป ไม่งั้นเรื่องเที่ยวทะเลอาจกลายเป็นเรื่องเศร้าแทน 
           ชายหาดข้างๆสโมสรสัญญาบัตร เวลาน้ำลง จะมีแม่บ้านสวมเสื้อผ้ามิดชิดและมีหมวกกันแดดนั่งยองๆ ข้างตัวมีถังน้ำใบเล็ก ขุดทรายหาหอยตัวเล็กๆ จำพวกหอยลาย ใส่กระป๋อง มาทำอาหารการกิน แม่แก้วเองเคยลองไปนั่งขุดหอยกับเขาเหมือนกัน ขุดได้แล้วเอามาแช่น้ำใส่ใบโหระพา ให้หอยคายดินออกมาก่อนที่จะนำไปผัดกิน หอยที่ขุดได้ตัวเล็ก ไม่ค่อยมีเนื้อเหมือนหอยที่ซื้อจากตลาด ไปขุดไม่กี่ครั้งก็เลิกขุดเพราะร้อนแดด และกว่าจะได้หอยพอทำกับข้าวใช้เวลานาน ส่วนแม่บ้านที่ไปขุดมีความชำนาญ จะขุดกันได้นานๆและได้ปริมาณมากกว่าแม่แก้ว
           การทำประมงในเกล็ดแก้วที่คึกคักมากที่สุด เห็นจะเป็นที่ปลายแหลม ในตอนเย็นแม่แก้วกับพ่อบุญมักไปเดินเล่นปลายแหลมกันบ่อยๆ ไปดูพ่อบ้านแม่บ้านทหารเรือตกปลา ตกหมึก วิธีตกปลามีทั้งการตกเบ็ดโดยไม่ใช้เหยื่อ และใช้เหยื่อ
           “เบ็ดโสก” เป็นเบ็ดตกปลาที่มีตาเบ็ดหลายตาเป็นเงี่ยงแหลมมีเส้นพลาสติกเส้นเล็กๆล่อปลา คนตกจะเหวี่ยงเบ็ดจะปล่อยเอ็นลงไปในน้ำทะเล แล้วใช้รอกหมุนดึงเอ็นเบ็ดขึ้นมาจากน้ำ ได้ปลาตัวเล็กๆจำพวกปลาข้างเหลืองติดมาคราวละตัวสองตัว   ส่วนเบ็ดแบบที่ใช้เหยื่อ จะใช้เหยื่อที่ตายแล้ว เช่น เศษเนื้อปลา หรือปลาตัวเล็ก กับเหยื่อที่เป็นๆ เช่น ปลาหมึก ถ้าเป็นเหยื่อที่ตายแล้วมักตกแบบง่ายๆ คือ ใช้เบ็ดคันไม้ แบบชาวบ้านๆที่ไม่มีรอก ส่วนพวกที่ตกแบบใช้เหยื่อเป็นๆนี้จะเป็นมืออาชีพ ใช้คันเบ็ดพร้อมรอก  วิธีตกนี้โหดมาก เพราะเอาเหยื่อเป็นๆ พวกปลา หรือหมึกเกี่ยวเบ็ด แล้วเหวี่ยงลงน้ำ  ปลา หรือหมึกนี้จะว่ายน้ำไป ล่อปลาใหญ่ จำพวกปลาสาก ที่นิยมเรียกง่ายๆว่า “ไอ้สาก” ปลาสากนี้เป็นปลาตัวใหญ่ ปากมีฟันแหลมคม บางทีกัดเหยื่อขาดครึ่งตัว แต่ถ้ากินเบ็ดได้จะต้องใช้เวลาดึงกันอยู่นานกว่าจะดึงขึ้นจากน้ำได้
           ผู้การ รร.ชุมพลฯ ในยุคนั้น ล้วนแต่เป็นนักอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเล ท่านมักเน้นว่าให้ตกปลาแบบใช้เบ็ด แค่เพียงพอการเลี้ยงชีพ ห้ามตกปลาแบบทอดแห เพราะจะเป็นการเอาเปรียบปลา และทำให้ปลาในทะเลมีจำนวนลดลงได้
           นอกจากการตกปลาแล้ว การ “ตกหมึก” ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่นิยมมากที่ปลายแหลม หลังแต่งงานแล้ว แม่แก้วไม่ต้องกลับบ้านกรุงเทพทุกเสาร์อาทิตย์  จึงมีเวลาว่างมาก จากการไปเดินเล่นปลายแหลมตอนเย็นๆ ก็เริ่มไปซื้ออุปกรณ์ตกปลาตกหมึกมาลองตกเองบ้าง
           พ่อบุญ ท่าจะเอาดีทางตกหมึก “ตกหมึก” นี่หมายถึงการตกปลาหมึก เครื่องมือที่ใช้คือ กุ้งปลอมสีสดสะท้อนแสง ๑ ตัว ปลาหางของกุ้งมีเงี่ยงโลหะแหลมยื่นออกมาเป็นพวง เรียกว่า “โยทะกา”  กุ้งนี้ไปซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ตกปลาในตลาดสัตหีบ หรือในบางเสร่ กุ้งนี้นำมาผูกกับเอ็นตกปลาทั่วไป ความยาวของเอ็นก็พอที่เราจะขว้างไปแล้วตกลงในน้ำทะเล จมสักหน่อย แล้วลากเข้ามาหาตัว
           วิธีตกหมึกนี้ง่ายมาก เพราะเป็นการทำอะไรที่ซ้ำซากมาก กล่าวคือ เราจะถือม้วนเอ็นไว้ที่มือนึง อีกมือหนึ่งโยนกุ้งปลอมลงไปในทะเล พร้อมกับปล่อยสายเอ็นออกไปตามแรงโยนกุ้ง กุ้งก็จะตกลงสู่ทะเล ใครจะโยนไกลโยนใกล้ก็ขึ้นกับความชำนาญและความแข็งแรง ทำบ่อยๆก็โยนเก่งขึ้นไกลขึ้น พอกุ้งตกลงในทะเลก็ค่อยๆสาวเอ็นกลับมาใส่ม้วนตามเดิม ม้วนเอ็นก็ใช้เศษแกนพีวีซีท่อประปาเป็นที่ม้วน 
           ระหว่างสาวเอ็นนี่ ถ้ากุ้งของเราถ่วงน้ำหนักมาดี มันก็จะว่ายสวยเลย ที่ปลายแหลม หรือสะพานที่ยื่นไปในทะเลนี่มีแสงนีออนล่อหมึกให้มาเล่นไฟ ถ้ามีหมึกโชคร้ายเข้ามาเห็นกุ้งว่ายน้ำอยู่ มันก็จะว่ายตามอย่างปราดเปรียว พอทันกุ้ง มันก็เอาหนวดยุ่บยั่บของมันรวบเข้าที่หางกุ้ง จังหวะที่เราสาวกุ้งเข้าหาตัวเรา ปลายโยทะกาก็จะเกี่ยวหนวดหมึกไว้อย่างดิ้นไม่หลุด
           ตอนที่หมึกจับกุ้ง จะมีแรงดึงกลับ ตอนสาวเอ็นจะรู้สึกได้ถึงแรงดูด เราก็ดึงเอ็นเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้น้ำหนักและความตึงของเอ็นจะบอกเราว่าได้หมึกที่ตกได้ตัวขนาดไหน การตกหมึกแต่ละครั้งนี่ไม่แน่นอน ถ้าเป็นช่วงหมึกเข้าปลายแหลม ซึ่งคืนหนึ่งอาจมีช่วงหมึกเข้าแค่ชั่วโมงเดียว ช่วงที่เรานิยมไปยืนตกหมึกกันมักเป็นช่วงหลังอาหารเย็น สักทุ่มหนึ่งถึงสามทุ่ม บางทีตกไม่ได้เลย บางทีได้สองสามตัว บางทีได้หลายตัว แต่ที่ได้แน่ๆ คือได้ “เพื่อน” เพราะที่ปลายแหลมมีพี่ๆทหารเรือที่ตกปลาตกหมึกอยู่ด้วยกัน เล่าประสบการณ์เรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง
           พ่อบุญ มีนิสัยทำอะไรซ้ำๆได้โดยไม่เบื่อ คือ การโยนกุ้งแล้วเก็บเอ็น โยนกุ้งแล้วเก็บเอ็น ได้เป็นร้อยๆพันๆรอบ (สามารถมาก) แถมตอนหัวค่ำตกหมึกไม่ได้ มีการตั้งนาฬิกาปลุกตื่นไปตกรอบเที่ยงคืนอีก สำหรับรอบเที่ยงคืนนี้ เวลากลับบ้านก็ไม่แน่อีก บางทีตีสอง ตีสี่ บางทีเช้าเลย ที่สำคัญคือ คืนไหนโชคดี ได้หมึกกลับมาบ้านเป็นกิโล  แม่แก้วต้องล้างทำความสะอาดเก็บเข้าช่องแข็งในตู้เย็น แล้วทยอยนำออกมาทำกับข้าว บางทีกินไม่ทัน ก็นำไปขายป้าที่สโมสรประทวน ป้าให้ราคากิโลกรัมละ ๖๐ บาท เอาไปทำกับข้าวขายในสโมสรอีกต่อหนึ่ง
           หมึกที่ตกได้เองนี้สดมาก เมื่อมาย่างกินกับน้ำจิ้มซีฟู๊ด เนื้อหวานอร่อยมาก ถ้าใครได้ตกหมึกกินเองแล้ว จะไม่ค่อยอยากซื้อหมึกตามตลาดมากิน เพราะมันจืดชืดต่างกันมาก
           สำหรับนักเรียนจ่าเอง ก็ชอบแอบตกหมึกเช่นกัน ตอนดึกๆ ที่เข้ายามที่ปลายแหลม จะแอบพกกุ้งโยทะกาไปตกกับเขาด้วย อุปกรณ์ทำอาหารของนักเรียนจ่านี้ก็ช่างสร้างสรร นักเรียนเล่าให้ฟังว่า ตกได้แล้วก็เอาไปย่างบนเตารีด โดยมีใบตองรองรีดหมึกกิน น่านับถือในอัฉริยะของการแสวงเครื่องของนักเรียนจริงๆ

           กิจกรรมตกหมึกของพ่อบุญ สิ้นสุดลงเมื่อความแตก ตอนคุณน้าชายของพ่อบุญมาเยี่ยมบ้านเรา ทำให้ความรู้ไปถึงหูคุณแม่ของพ่อบุญ ครอบครัวเราเลยถูกสั่งห้ามตกหมึกตั้งแต่นั้นมา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น