ในตอนที่ผ่านมา
แม่แก้วได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับป่าเขาลำเนาไพร งู
และสัตว์ต่างๆในเกล็ดแก้วไปแล้ว
ตอนนี้จึงจะขอเล่าเรื่องทะเลๆบ้าง
เกล็ดแก้วด้านที่ติดกับทะเล คือ
“อ่าวเกล็ดแก้ว” เป็นอ่าวโค้ง มีความยาวประมาณกิโลเมตรกว่าๆ การมีชายหาดที่ยาวสักกิโลเมตรกว่าๆนี้ ทำให้ข้าราชการ ลูกจ้าง และครอบครัว
ที่พักอาศัยใน รร. ชุมพลฯ มีอาชีพเสริมในการการทำประมงกันมากมาย
รวมถึงนักเรียนจ่าเองก็แอบทำประมงกับเขาด้วยเหมือนกัน
ชายหาดเกล็ดแก้วมีเรือประมงเล็กๆหลายลำของพ่อบ้านทหารเรือจอดอยู่
ไต้ก๋งทหารเรือที่มีเรือเองนี้หาปลาเก่งมาก ตกเย็นก็ออกหาปลา ปู หมึก
กลับมาดึกหน่อย เช้าก็มาทำงานตามปกติ
วันหยุดหรือบางวันก็ออกเรือกลางคืนแล้วกลับมาเช้าเลย ใครอยากกินอาหารทะเล
ปลา ปู หมึกสดๆ ก็จะไปบอกเจ้าของเรือไว้ล่วงหน้า ให้แวะมาให้ที่บ้านตอนเช้า
แล้วจ่ายเงินจ่ายทองเป็นค่าอาหารทะเลสดๆนี้ในราคาถูกมาก
ทหารเรือบางนายก็นิยมออกไปกับเรือประมง
ไปตกปลาแถวปากอ่าวเกล็ดแก้ว ได้ปลามากมาย ปลาที่หลักๆที่เห็นจะเป็นปลาทรายตัวแดงๆ
นอกจากนี้ในบางฤดูกาล จะมีปลาโฉมงามตัวสวยในอ่าวให้จับมากิน
“คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล” พี่ทหารเรือที่แม่แก้วรู้จักคนหนึ่ง
เล่าให้ฟังว่า พาญาติเที่ยว
โดยว่าเรือประมงออกไปหาปลาในตอนกลางคืน โชคไม่ดีคืนนั้นพายุเข้าคลื่นลมแรง
เรือเลยล่มตรงปากอ่าวเกล็ดแก้ว คนบนเรือต้องลงไปว่ายน้ำลอยคออยู่ในน้ำทะเล
อาศัยเกาะกระติกน้ำบ้าง สิ่งของที่ลอยน้ำบ้าง อยู่เป็นชั่วโมง กว่าจะมีเรือประมงแล่นผ่านมาช่วยเหลือ
โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรไป
ไม่งั้นเรื่องเที่ยวทะเลอาจกลายเป็นเรื่องเศร้าแทน
ชายหาดข้างๆสโมสรสัญญาบัตร เวลาน้ำลง
จะมีแม่บ้านสวมเสื้อผ้ามิดชิดและมีหมวกกันแดดนั่งยองๆ ข้างตัวมีถังน้ำใบเล็ก
ขุดทรายหาหอยตัวเล็กๆ จำพวกหอยลาย ใส่กระป๋อง มาทำอาหารการกิน
แม่แก้วเองเคยลองไปนั่งขุดหอยกับเขาเหมือนกัน ขุดได้แล้วเอามาแช่น้ำใส่ใบโหระพา
ให้หอยคายดินออกมาก่อนที่จะนำไปผัดกิน หอยที่ขุดได้ตัวเล็ก
ไม่ค่อยมีเนื้อเหมือนหอยที่ซื้อจากตลาด ไปขุดไม่กี่ครั้งก็เลิกขุดเพราะร้อนแดด
และกว่าจะได้หอยพอทำกับข้าวใช้เวลานาน ส่วนแม่บ้านที่ไปขุดมีความชำนาญ
จะขุดกันได้นานๆและได้ปริมาณมากกว่าแม่แก้ว
การทำประมงในเกล็ดแก้วที่คึกคักมากที่สุด
เห็นจะเป็นที่ปลายแหลม ในตอนเย็นแม่แก้วกับพ่อบุญมักไปเดินเล่นปลายแหลมกันบ่อยๆ
ไปดูพ่อบ้านแม่บ้านทหารเรือตกปลา ตกหมึก วิธีตกปลามีทั้งการตกเบ็ดโดยไม่ใช้เหยื่อ
และใช้เหยื่อ
“เบ็ดโสก”
เป็นเบ็ดตกปลาที่มีตาเบ็ดหลายตาเป็นเงี่ยงแหลมมีเส้นพลาสติกเส้นเล็กๆล่อปลา
คนตกจะเหวี่ยงเบ็ดจะปล่อยเอ็นลงไปในน้ำทะเล แล้วใช้รอกหมุนดึงเอ็นเบ็ดขึ้นมาจากน้ำ
ได้ปลาตัวเล็กๆจำพวกปลาข้างเหลืองติดมาคราวละตัวสองตัว ส่วนเบ็ดแบบที่ใช้เหยื่อ
จะใช้เหยื่อที่ตายแล้ว เช่น เศษเนื้อปลา หรือปลาตัวเล็ก กับเหยื่อที่เป็นๆ เช่น
ปลาหมึก ถ้าเป็นเหยื่อที่ตายแล้วมักตกแบบง่ายๆ คือ ใช้เบ็ดคันไม้ แบบชาวบ้านๆที่ไม่มีรอก
ส่วนพวกที่ตกแบบใช้เหยื่อเป็นๆนี้จะเป็นมืออาชีพ ใช้คันเบ็ดพร้อมรอก วิธีตกนี้โหดมาก เพราะเอาเหยื่อเป็นๆ พวกปลา
หรือหมึกเกี่ยวเบ็ด แล้วเหวี่ยงลงน้ำ ปลา
หรือหมึกนี้จะว่ายน้ำไป ล่อปลาใหญ่ จำพวกปลาสาก ที่นิยมเรียกง่ายๆว่า “ไอ้สาก”
ปลาสากนี้เป็นปลาตัวใหญ่ ปากมีฟันแหลมคม บางทีกัดเหยื่อขาดครึ่งตัว
แต่ถ้ากินเบ็ดได้จะต้องใช้เวลาดึงกันอยู่นานกว่าจะดึงขึ้นจากน้ำได้
ผู้การ รร.ชุมพลฯ ในยุคนั้น
ล้วนแต่เป็นนักอนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางทะเล ท่านมักเน้นว่าให้ตกปลาแบบใช้เบ็ด
แค่เพียงพอการเลี้ยงชีพ ห้ามตกปลาแบบทอดแห เพราะจะเป็นการเอาเปรียบปลา และทำให้ปลาในทะเลมีจำนวนลดลงได้
นอกจากการตกปลาแล้ว การ “ตกหมึก” ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่นิยมมากที่ปลายแหลม
หลังแต่งงานแล้ว
แม่แก้วไม่ต้องกลับบ้านกรุงเทพทุกเสาร์อาทิตย์
จึงมีเวลาว่างมาก จากการไปเดินเล่นปลายแหลมตอนเย็นๆ
ก็เริ่มไปซื้ออุปกรณ์ตกปลาตกหมึกมาลองตกเองบ้าง
พ่อบุญ ท่าจะเอาดีทางตกหมึก “ตกหมึก”
นี่หมายถึงการตกปลาหมึก เครื่องมือที่ใช้คือ กุ้งปลอมสีสดสะท้อนแสง ๑ ตัว ปลาหางของกุ้งมีเงี่ยงโลหะแหลมยื่นออกมาเป็นพวง
เรียกว่า “โยทะกา” กุ้งนี้ไปซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ตกปลาในตลาดสัตหีบ
หรือในบางเสร่ กุ้งนี้นำมาผูกกับเอ็นตกปลาทั่วไป
ความยาวของเอ็นก็พอที่เราจะขว้างไปแล้วตกลงในน้ำทะเล จมสักหน่อย
แล้วลากเข้ามาหาตัว
วิธีตกหมึกนี้ง่ายมาก
เพราะเป็นการทำอะไรที่ซ้ำซากมาก กล่าวคือ เราจะถือม้วนเอ็นไว้ที่มือนึง อีกมือหนึ่งโยนกุ้งปลอมลงไปในทะเล
พร้อมกับปล่อยสายเอ็นออกไปตามแรงโยนกุ้ง กุ้งก็จะตกลงสู่ทะเล
ใครจะโยนไกลโยนใกล้ก็ขึ้นกับความชำนาญและความแข็งแรง ทำบ่อยๆก็โยนเก่งขึ้นไกลขึ้น
พอกุ้งตกลงในทะเลก็ค่อยๆสาวเอ็นกลับมาใส่ม้วนตามเดิม ม้วนเอ็นก็ใช้เศษแกนพีวีซีท่อประปาเป็นที่ม้วน
ระหว่างสาวเอ็นนี่
ถ้ากุ้งของเราถ่วงน้ำหนักมาดี มันก็จะว่ายสวยเลย ที่ปลายแหลม
หรือสะพานที่ยื่นไปในทะเลนี่มีแสงนีออนล่อหมึกให้มาเล่นไฟ
ถ้ามีหมึกโชคร้ายเข้ามาเห็นกุ้งว่ายน้ำอยู่ มันก็จะว่ายตามอย่างปราดเปรียว
พอทันกุ้ง มันก็เอาหนวดยุ่บยั่บของมันรวบเข้าที่หางกุ้ง
จังหวะที่เราสาวกุ้งเข้าหาตัวเรา ปลายโยทะกาก็จะเกี่ยวหนวดหมึกไว้อย่างดิ้นไม่หลุด
ตอนที่หมึกจับกุ้ง จะมีแรงดึงกลับ
ตอนสาวเอ็นจะรู้สึกได้ถึงแรงดูด เราก็ดึงเอ็นเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้น้ำหนักและความตึงของเอ็นจะบอกเราว่าได้หมึกที่ตกได้ตัวขนาดไหน
การตกหมึกแต่ละครั้งนี่ไม่แน่นอน ถ้าเป็นช่วงหมึกเข้าปลายแหลม
ซึ่งคืนหนึ่งอาจมีช่วงหมึกเข้าแค่ชั่วโมงเดียว
ช่วงที่เรานิยมไปยืนตกหมึกกันมักเป็นช่วงหลังอาหารเย็น สักทุ่มหนึ่งถึงสามทุ่ม
บางทีตกไม่ได้เลย บางทีได้สองสามตัว บางทีได้หลายตัว แต่ที่ได้แน่ๆ คือได้ “เพื่อน”
เพราะที่ปลายแหลมมีพี่ๆทหารเรือที่ตกปลาตกหมึกอยู่ด้วยกัน เล่าประสบการณ์เรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง
พ่อบุญ มีนิสัยทำอะไรซ้ำๆได้โดยไม่เบื่อ คือ การโยนกุ้งแล้วเก็บเอ็น
โยนกุ้งแล้วเก็บเอ็น ได้เป็นร้อยๆพันๆรอบ (สามารถมาก) แถมตอนหัวค่ำตกหมึกไม่ได้
มีการตั้งนาฬิกาปลุกตื่นไปตกรอบเที่ยงคืนอีก สำหรับรอบเที่ยงคืนนี้
เวลากลับบ้านก็ไม่แน่อีก บางทีตีสอง ตีสี่ บางทีเช้าเลย ที่สำคัญคือ คืนไหนโชคดี
ได้หมึกกลับมาบ้านเป็นกิโล แม่แก้วต้องล้างทำความสะอาดเก็บเข้าช่องแข็งในตู้เย็น
แล้วทยอยนำออกมาทำกับข้าว บางทีกินไม่ทัน ก็นำไปขายป้าที่สโมสรประทวน ป้าให้ราคากิโลกรัมละ
๖๐ บาท เอาไปทำกับข้าวขายในสโมสรอีกต่อหนึ่ง
หมึกที่ตกได้เองนี้สดมาก เมื่อมาย่างกินกับน้ำจิ้มซีฟู๊ด เนื้อหวานอร่อยมาก ถ้าใครได้ตกหมึกกินเองแล้ว
จะไม่ค่อยอยากซื้อหมึกตามตลาดมากิน เพราะมันจืดชืดต่างกันมาก
สำหรับนักเรียนจ่าเอง ก็ชอบแอบตกหมึกเช่นกัน ตอนดึกๆ ที่เข้ายามที่ปลายแหลม
จะแอบพกกุ้งโยทะกาไปตกกับเขาด้วย อุปกรณ์ทำอาหารของนักเรียนจ่านี้ก็ช่างสร้างสรร
นักเรียนเล่าให้ฟังว่า ตกได้แล้วก็เอาไปย่างบนเตารีด โดยมีใบตองรองรีดหมึกกิน น่านับถือในอัฉริยะของการแสวงเครื่องของนักเรียนจริงๆ
กิจกรรมตกหมึกของพ่อบุญ สิ้นสุดลงเมื่อความแตก
ตอนคุณน้าชายของพ่อบุญมาเยี่ยมบ้านเรา ทำให้ความรู้ไปถึงหูคุณแม่ของพ่อบุญ
ครอบครัวเราเลยถูกสั่งห้ามตกหมึกตั้งแต่นั้นมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น