หน้าเว็บ

8/29/2558

นักบวชสตรี ๓๐. กลับสู่อินเดีย : มุ่งสู่สาวัตถี ฐานที่มั่นของพระพุทธศาสนา : เมืองที่มีพระโสดาบัน ๖๐ ล้านคน


          เช้าวันอังคารที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๗  การเดินทางจาริกแสวงบุญของกองทัพธรรมล่วงมาถึงวันที่ ๖ แล้ว ผู้เขียนบันทึกเรื่องราวย้อนหลังไปด้วยความประทับใจ แต่ละแห่งที่จาริกมาล้วนแต่เติมศรัทธาในพระรัตนตรัยเข้าไปในใจไปเรื่อยๆ พลังศรัทธาในใจนี้ หลวงพ่อซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของผู้เขียนท่านเทศน์เสมอว่า
          "โยมต้องมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา การปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นนี้ต้องมีกำลังมากพอที่จะข้ามสังสารวัฏการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ใจผู้รู้นี้ ต้องใช้ศรัทธาเป็นตัวนำจึงจะเข้าได้"
          กองทัพธรรมออกเดินทางจากประเทศเนปาลกลับสู่ประเทศอินเดีย ในขากลับนี้กองทัพธรรมแวะวัดไทย ๙๖๐ เพื่อฉันเพลเช่นเดียวกับขามา จากนั้นจึงเดินทางมุ่งสู่สาวัตถี หลวงตายังคงเล่าเรื่องราวของสาวัตถีให้แม่ๆฟังบนรถระหว่างการเดินทาง ซึ่งแม่ๆก็ฟังหลวงตาเล่าอย่างเพลิดเพลิน ด้วยว่าท่านเล่าอย่างละเอียดและสอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอย่างน่าสนใจยิ่ง
          เมืองสาวัตถีตั้งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาลสาวัตถีเป็นเมืองหนึ่งในจำนวน ๖ เมืองที่ยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองที่สุดเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศล ซึ่งเป็นแคว้นหนึ่งในจำนวน ๑๖ แคว้นในสมัยพุทธกาล และเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่อีกแคว้นหนึ่งใน ๔ แคว้น แคว้นโกศลมีความยิ่งใหญ่ในด้านการปกครอง เป็นศูนย์กลางในการติดต่อกับแคว้นต่างๆทางตอนเหนือเช่น มคธ กาสี กุรุ วัชชี ต่อมาแคว้นโกศลได้ผนวกแคว้นกาสีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งรวมทั้งยังปกครองแคว้นสักกะซึ่งเป็นเมืองพุทธบิดาอีกด้วย
          พระพุทธองค์ได้เสด็จจาริกสู่เมืองสาวัตถี เพื่อโปรดมหาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ "ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี" ทูลนิมนต์และได้จำพรรษาถึง ๒๕ พรรษา ทรงประทับอยู่จำพรรษาใน "วัดพระเชตะวันมหาวิหาร" ของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ๑๙ พรรษาและ "วัดบุพพาราม" ของ "นางวิสาขา" ๖ พรรษา ทั้งนี้เป็นเพราะเศรษฐีและนางวิสาขาศรัทธาเลื่อมใสพระพุทธศาสนาและมีอุปการะคุณต่อพระภิกษุสงฆ์นานับประการ ด้วยเหตุนี้จึงเปรียบได้ว่าเป็นเมืองที่เป็นฐานที่มั่นของพระพุทธศาสนา
          สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ สาวัตถี นานกว่าที่อื่น อาจเนื่องจากท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี และ นางวิสาขา มีอุปการะคุณ ต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก ดังเรื่องเล่าว่า ท่านอนาถบปิณฑิกเศรษฐี และ   นางวิสาขา ท่านทั้งสองจะไปวัดวันละสองครั้งเป็นประจำทุกวัน เวลาไป  ก็ไม่ได้ไปมือเปล่า ถ้าไปเวลาเช้าก่อนฉันเพลก็จะมีอาหารคาวหวานติดสำรับไปถวายพระสงฆ์ ถ้าไปช่วงบ่าย-เย็นก็จะมีน้ำปานะหรือเภสัชติดมือไปถวาย ไม่ขาดเลย
          นอกจากนี้ ผู้คนในสาวัตถี นัยว่ามีอยู่ ๗ โกฎิ หรือ ๗๐ ล้าน ในจำนวนนี้ ๖ โกฎิ บรรลุธรรมขั้นต่ำก็เป็นพระโสดาบัน อีก ๑ โกฎิ ก็ตั้งมั่นอยู่ในไตรสรณคมน์ และสภาพบ้านเมืองสงบสุข ร่มเย็น ไม่มีศึกสงครามการเบียดเบียนกันรุนแรงเลย
          ถึงตรงนี้ ผู้เขียนรู้สึกว่าชาวเมืองนี้ช่างมีจิตใจเป็นกุศล คงเป็นเมืองที่น่าอยู่มาก เรียกได้ว่า เป็นเมืองในฝันของผู้เขียนเลยก็ว่าได้  เพราะผู้คนมีจิตใจที่ไฝ่ธรรม และเป็นพระโสดาบันจำนวนมาก วันๆเขาคงจะคุยกัน และทำกันแต่เรื่องธรรม  เรื่องการปฏิบัติธรรม เรื่องที่เป็นกุศล  การทำมาหากินสุจริต เรื่องการผิดศีล การเบียดเบียน ให้ร้าย โป้ปดมดเท็จ ขโมยขโจร คงไม่มี ทำให้  นึกถึงต่างจังหวัดในบ้านเรา ที่ยังคงยึดมั่นในพระพุทธศาสนา เช้าตื่นขึ้นมาก็นึกแต่บุญกุศล ทำบุญใส่บาตร วันพระก็ไปวัด ทำบุญทำทานกันอย่างตั้งอกตั้งใจ ขณะที่ชีวิตในเมืองหลวงนี้ ความเร่งรีบ แข่งขันต่างๆ ผู้คนห่างพระศาสนา การรักษา ศีล ๕ ซึ่งเป็นพื้นฐานของมนุษย์กลับถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย
          เห็นโลกในเวลานี้แล้ว อดนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า
          "ใจมนุษย์เป็นอย่างไร โลกก็เป็นอย่างนั้น"
          สอดคล้องกับที่คุณแม่ให้ธรรมว่า
          "แผ่นดินต่ำ เพราะคนใจต่ำ"
          "เอาแต่ของหยาบ กิเลสหยาบๆ"
          ผู้เขียนระลึกตามก็เห็นจริงตามนั้น ของหยาบกับอกุศล ของละเอียดกับกุศลในจิตในใจ มันมีอาการต่างกันสิ่งที่ครูบาอาจารย์และคุณแม่ทำ คือ ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างใจของคนให้มีแต่คุณงามความดี ให้ธรรมเกิดขึ้นในใจกับคนของแผ่นดิน เหมือนค่อยๆเติมน้ำที่ใสสะอาดลงไปแทนน้ำขุ่นที่สกปรกในภาชนะ ค่อยๆทำให้น้ำในภาชนะนั้นใสสะอาดขึ้นบ้าง หากผู้คนมีศีลมีธรรมในใจ แผ่นดินก็จะร่มเย็นเป็นสุขเช่นเดียวกับเมืองสาวัตถีในครั้งพุทธกาล
          หลวงตาได้เล่าต่อไปว่า เพราะพระพุทธองค์จำพรรษาอยู่ที่สาวัตถียาวนานกว่าที่อื่นๆ พระสูตรต่างๆจึงตรัสแก่พระภิกษุขณะที่พำนักอยู่ที่นี่มากที่สุด โดยในพระสูตรของพระพุทธศาสนาเกือบร้อยละ ๘๐-๙๐ จะขึ้นต้นว่า
          "เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัลสะ อาราเม."
แปลว่า  "ข้าพเจ้าพระอานนท์ได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี แขวงเมืองสาวัตถี" 
          เหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระศาสนาก็เกิดขึ้นในเมืองสาวัตถีนี้มากที่สุดเช่นกันเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น กรณีพระเทวทัตคิดทำลายสงฆ์ให้แตกแยกกันและถูกแผ่นดินสูบ นางจิญจมาณวิกากล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าทำนางให้ตั้งท้อง โจรองคุลีมาลฆ่าคนตัดนิ้วมาทำมาลัยแขวนคอ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดแล้วจึงได้บวชและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น