หน้าเว็บ

8/29/2558

นักบวชสตรี ๒๘. กรุงกบิลพัสดุ์ : พระราชวังสามฤดู : การออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะ

      เช้าวันจันทร์ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๗  กองทัพธรรมยังอยู่ในประเทศเนปาล ช่วงเช้ากองทัพธรรมสวดมนต์ และเดินจงกรม ณ วัดไทยลุมพินี  คุณแม่ และทีมงานได้เตรียมของใส่บาตรพระสงฆ์กองทัพธรรมเป็นครั้งที่สอง...สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
      ช่วงบ่ายกองทัพธรรมได้เดินทางจาริกไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ เสียงเล่าของหลวงตาในรถบัสยังคงแว่วอยู่ในความทรงจำบวกกับข้อมูลที่สืบค้นมาเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ของบทความนี้
      กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของแคว้นสักกะ เป็นเมืองของพระเจ้าสุทโธนะผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นเมืองที่พระพุทธเจ้าทรงเจริญเติบโตและประทับอยู่จนกระทั่งพระชนมายุ ๒๙ ปี ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศเนปาล ติดชายแดนตอนเหนือประเทศอินเดียยังเหลือซากเมืองอยู่เป็นหลักฐาน ไม่ห่างจากลุมพินีวันสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่เราได้จาริกเมื่อวันวาน
      พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" หมายถึง ผู้ที่สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรือผู้ปรารถนาสิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสของ "พระเจ้าสุทโธทนะ" กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ และ "พระนางสิริมหามายา" พระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ
      ในคืนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิริมหามายา พระนางทรงพระสุบินนิมิตว่า มีช้างเผือกมีงาสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม ก่อนที่พระนางจะมีพระประสูติกาล ที่ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนวิสาขะ ปีจอ ๘๐ ปี ก่อนพุทธศักราช
      หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติกาลได้แล้ว ๗ วัน พระนางสิริมหามายา ก็เสด็จสวรรคาลัย  ตรงนี้หลวงตาอธิบายให้ฟังถึงคำถามที่ว่า ทำไมหลังจากพระนางสิริมหามายาประสูติพระโอรสแล้วจึงมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อมาได้เพียง ๗ วัน  เป็นเพราะพระนางสิริมหามายาได้อธิษฐานไว้ว่า ขอเป็นมารดาพระพุทธเจ้า เมื่อประสูติพระบรมโพธิสัตว์เจ้าได้ ๗ วันก็เสด็จทิวงคต เพระสงวนพระครรภ์ไว้สำหรับประสูติพระพุทธเจ้าองค์เดียวไปบังเกิดเป็นเทพบุตรสถิตในดุสิตเทวโลก ดังพระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    "ดูกรอานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้นดูกรอานนท์ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรอานนท์ มารดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมีอายุน้อยเหลือเกินเมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน มารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทำกาละเข้าถึงเทพนิกายชั้นดุสิต ฯ
      เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา 
      เมื่อประสูติใหม่ๆ พราหมณ์ทั้ง ๘ ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ หากดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน 
      เจ้าชายสิทธัตถะทรงศึกษาเล่าเรียนจนจบศิลปศาสตร์ทั้ง ๑๘ ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตรและเนื่องจากพระบิดาไม่ประสงค์ให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบเห็นแต่ความสุข โดยการสร้างปราสาท ๓ ฤดู ให้อยู่ประทับ และจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการราชาภิเษกให้เจ้าชายขึ้นครองราชย์
      เมื่อมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพาหรือยโสธรา พระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา
      วันหนึ่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงเบื่อความจำเจในปราสาท ๓ ฤดู จึงชวนนายฉันนะสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค์) ที่แปลงกายมา พระองค์จึงทรงคิดได้ว่า นี่เป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสุขทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะดังนั้นพระองค์จึงใคร่จะเสด็จออกบรรพชา ในขณะที่มีพระชนม์ ๒๙ พรรษา
     วันหนึ่งขณะที่ประทับอยู่ในอุทยานพร้อมกับคิดในเรื่องหาทางพ้นทุกข์อยู่นั้น อำมาตย์สองคนได้เข้ามากราบทูลว่า
     “ฟ้าชายพระเจ้าข้า ขณะนี้ พระนางพิมพาได้คลอดพระราชโอรสมาแล้ว” ทำให้สิทธัตถะถึงกับอุทานออกมาว่า
      "บ่วงเกิดขึ้นแล้วหรือ ราหุลัง ซาตัง ราหุลเกิดแล้ว บ่วงเกิดกับเราแล้ว การมุ่งมาดปรารถนาว่าจะเป็นสมณะจะหมดโอกาสเสียแล้วหรือราหุล ราหุล เจ้าเกิดมาจะเป็นบ่วงพ่อเสียแล้วหรือความเป็นสมณะคงจะหมดโอกาสแล้วหรือ?"
     พระราชโอรส จึงมีพระนามว่า "ราหุล" ซึ่งหมายถึง "บ่วง" นั่นเอง
     ในที่สุดพระองค์ก็ทรงอุทานและนึกขึ้นว่าจะต้องเป็นสมณะให้จงได้ จะต้องหาทางพ้นจากบ่วงเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ให้จงได้
      ครานั้นพระองค์ได้เสด็จไปพร้อมกับนายฉันนะ สารถี ซึ่งเตรียมม้าพระที่นั่ง นามว่า "กัณฐกะ" มุ่งตรงไปยังแม่น้ำอโนมานทีก่อนจะประทับนั่งบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์ และเปลี่ยนชุดผ้ากาสาวพัสตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) และให้นายฉันทะ นำเครื่องทรงกลับพระนคร ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่) ไปโดยเพียงลำพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ
      เจ้าม้ากัณฐกะรู้ว่าเจ้านายที่แสนดีของมันจะต้องจากมันไป มันก็ยืนซึมน้ำตาไหลอาลัยรักเจ้านายที่แสนดีของมัน ในที่สุดความเสียดายอาลัยรักในเจ้านายที่แสนดีของมันมันก็ถึงกับใจแตกตาย ณ ที่ตรงนั้นความประทับใจใน พุทธประวัติช่วงนี้ ได้แก่  ม้ากัณฐกะ ที่อาลัยรักพระองค์ท่านจนถึงกับใจแตกสลายในเวลาที่พระองค์ท่านจากไป ผู้เขียนนึกถึงที่หลวงตาเล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ ม้ากัณฐกะ ซึ่งเป็นม้าที่เกิดในวัน เดือน ปี เดียวกับพระพุทธองค์  ซึ่งสิ่งที่เกิดวัน เดือน ปี เดียวกับพระพุทธองค์มี ๗ สิ่ง เรียกว่า "สหชาติ ๗"  มีดังนี้
      ๑.  พระนางพิมพา ต่อมาได้เป็นอัครมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะและให้กำเนิดพระราหุลกุมาร
      ๒. พระกุมารอานนท์ต่อมาตามเสด็จออกบรรพชาจนสำเร็จอรหันต์และเป็นพระมหาพุทธอุปัฏฐาก
      ๓.  กาฬุทายี บุตรของอำมาตย์ ต่อมาได้ตามเสด็จออกบรรพชาและสำเร็จอรหันต์
      ๔.  นายฉันนะกุมาร บุตรมหาดเล็ก ซึ่งเป็นผู้ตามเสด็จในวันที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชาและต่อมาตามเสด็จออกบวชจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์
      ๕.  ม้ากัณฐกอัศวาร เป็นม้าทรงที่เจ้าชายสิทธัตถะใช้เสด็จออกจากพระนครเพื่อบรรพชา
      ๖.  ต้นพระศรีมหาโพธิ์งอก ต่อมาเป็นมหาโพธิบัลลังก์ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับในวันตรัสรู้
      ๗.  ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ อันมีนาม สังขนิธี เอลนิธี อุบลนิธี  บุณฑริกนิธี ซึ่งหากพระองค์ดำรงเพศฆราวาสจะมีพระราชทรัพย์ในพระคลังมากมายมหาศาล
      ณ พระราชวังสามฤดู แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ กองทัพธรรมได้ปฏิบัติบูชาด้วยการสวดมนต์ นั่งกรรมฐานเช่นเคย  ความรู้สึก ณ สถานที่แห่งนี้สำหรับผู้เขียนแล้ว มีความเด่นชัดในเรื่องพระราชวังสามฤดูที่พระราชบิดาสร้างไว้ให้พระองค์ท่านด้วยต้องการให้เห็นแต่สิ่งสวยงาม ความสุขความรื่นเริงใจ ด้วยหวังให้พระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ สถานที่แห่งนี้มีคุณค่าทางใจอย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันที่พระองค์ท่านตัดสินใจออกบวชแล้ว ช่างยิ่งใหญ่มาก การที่พระองค์ท่านทรงสละราชสมบัติ ครอบครัว พระชายา พระราชบุตรองค์น้อยที่แรกคลอด ทิ้งความสะดวกสบายทั้งปวงออกบวช ปลงพระเมาลี เปลี่ยนชุดเครื่องทรงกษัตริย์มาเป็นชุดนักบวชที่เรียบง่าย โดยที่ไม่รู้ว่าในแต่ละมื้อจะมีใครถวายอาหารให้ฉันหรือไม่  การออกบวชเพื่อค้นหาสัจธรรม แล้วนำมาเผยแพร่สั่งสอนหมู่สัตว์อย่างเรา นับเป็นการเสียสละอันยิ่งใหญ่ พระองค์ท่านทรงเมตตาไม่มีประมาณจริงๆ
      ความเด็ดขาดของพระองค์ท่านในวันนั้น  เป็นเรื่องที่นำมาเตือนตนได้เป็นอย่างดี สำหรับการเพ่งโทษตัวเองให้มากในเวลาที่เราไม่เด็ดขาดพะวงโน่นนี่  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสละเรือนเพียงแค่ไม่กี่วัน การปลงผมบวชเป็นพรหมจาริณี หรือการบริจาคทรัพย์ส่วนตัวเป็นทานต่างๆเหล่านี้  ไม่ควรตระหนี่  หรือลังเลสงสัย ห่วงโน่นห่วงนี่ การบวชแค่ไม่กี่วันนับว่าเป็นการสละที่เล็กน้อยมาก ถ้าสละแค่นี้ไม่ได้ ก็จะมาหวังอะไรกับการปฏิบัติเพื่อละวางตัวตน เพื่อให้พ้นทุกข์ มันจะเป็นการปฏิบัติเพียงเปลือกนอก เป็นเพียงเป็นแฟชั่นทำตามๆเขาไป ให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติ ผู้มีศีล คิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่ดีกว่าผู้อื่น เหล่านี้ล้วนเป็นตัวตน เป็นมานะทั้งสิ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น