วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๗ เช้าวันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของการจาริกแสวงบุญของคณะกองทัพธรรม
ด้วยว่าวันนี้เราจะเดินทางผ่านแดนจากประเทศอินเดียเข้าสู่ประเทศเนปาล
เพื่อไปจาริกแสวงบุญยังสังเวชนียสถานลำดับที่ ๑
สถานที่พระตถาคตเจ้าประสูติจากพระครรภ์มารดา
คือ "อุทยานลุมพินี"
เราตื่นนอนตั้งแต่ตีสาม
และออกเดินทางในเวลาตีสี่ การทำวัตรเช้า
และทานอาหารเช้าบนรถดูจะเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคย รวมถึงการเข้าห้องน้ำตามที่แวะ
หรือตามทุ่งตามแต่ทางผู้ดูแลคณะจะหาให้ ระยะทางการเดินทางในช่วงนี้ประมาณ ๑๖๐
กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๕ - ๖ ชั่วโมง
หลวงตายังคงแสดงธรรมเป็นมัคคุเทศน์วิไอพีให้กับแม่ๆพรหมจาริณีเช่นเคย
ท่านเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสังเวชนียสถานลำดับที่
๑ ให้ฟังอย่างละเอียดตลอดทาง และเล่าถึง "วัดไทยนวราชรัตนาราม ๙๖๐"
โดย ตัวเลข ๙๖๐ มาจาก เลข ๙ หมายถึง
รัชกาลที่ ๙ และ เลข ๖๐ หมายถึง สร้างขึ้นในปีมหามงคลเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พ.ศ. ๒๕๔๙
(ต่อไปผู้เขียนจะขอเรียกย่อๆว่า วัดไทย ๙๖๐) ซึ่งเป็นสถานที่ที่คณะกองทัพธรรมจะแวะฉันเพลและรับประทานอาหารกลางวันก่อนข้ามผ่านชายแดนอินเดียไปสู่ประเทศเนปาล
"เอ้า..เดี๋ยวเราจะไปแวะเข้าห้องน้ำที่สะอาดที่สุดในอินเดียกันนะ"
เสียงหลวงตาบอกแก่แม่ๆบนรถ "แล้วเราก็จะไปกินโรตีอรีดอยกัน และฉันเพลที่นี่"
เมื่อเราไปถึงวัดไทย ๙๖๐
และเข้าไปใช้บริการห้องน้ำซึ่งมีจำนวนหลายห้องสามารถรองรับคณะที่มากันเป็นร้อยๆคนได้
พบว่าสะอาดสมดังที่หลวงตาบอกไว้ สมกับสโลแกนที่ประทับใจว่าเป็น "สวรรค์บนดิน
ปลดทุกข์ได้สุขทันตา" วัดไทย ๙๖๐
นี้อยู่ในความดูแลของวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
สร้างเพื่อเป็นศาลาพักข้างทางของผู้แสวงบุญ มีห้องน้ำ ห้องสุขา
ที่จัดภัตตาหารถวายพระสงฆ์ระหว่างเดินทาง และเป็นศาลาเอนกประสงค์รับประทานอาหารแบบปิกนิก
ที่พักดื่มน้ำชา กาแฟ คลินิกปฐมพยาบาล ตู้ยาสามัญ
และมีร้าน "นโม" ร้านบุญสหกรณ์ที่ ๙๖๐ ขายของที่ระลึก
ที่ทางเข้าด้านหน้าวัดไทย ๙๖๐
มีร้านขายของฝากที่พวกเรารุมกันซื้อ ได้แก่ ยาเม็ดสาระเหน่ที่ใช้อมเล่นก็ได้
ใช้ทานเป็นยาก็ได้ (เพื่อนแม่พรหมจาริณีท่านหนึ่งได้ลองชิมแล้วติดใจ ตั้งชื่อว่า
"ลูกระเบิด" และรีบไปซื้อฝากทางบ้าน) นอกจากนี้ยังมี
มะขามเทศที่ปั้นเป็นเม็ด สมุนไพรมะรุม กระเทียม
ลิปมัน และ โฟมล้างหน้า ที่คุณภาพดีราคาไม่แพง พอเข้าไปด้านในก็มี "โรตีอรีดอย" ที่ทอดใหม่ๆร้อนๆ ราดนมข้นหวาน วางบนกระทงใบไม้แห้ง คล้ายๆกับกระทงใบตองแห้งบ้านเรา โรตีนี้อร่อยมากอีกเช่นกัน
ผู้เขียนยังไม่ได้เล่าถึงบรรยากาศการรับประทานอาหารในทุกๆมื้อ คุณแม่จะนำแม่ๆและทีมงานกล่าวคำถวายอาหารแก่พระสงฆ์ เมื่อถวายเสร็จแล้ว เราก็จะขออาหารที่เหลือจากท่านเป็นทานให้เราได้ทานต่อ ทุกๆครั้งเราจะได้รับพร และได้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ การอยู่ในเพศพรหมจาริณีนี้ ผู้เขียนรู้สึกถึงการติดดินจริงๆ เราจะนั่งกันบนพื้น กราบบนพื้นทางเดินบ้าง ในห้องอาหารบ้าง พื้นสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง สถานที่ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่นั่งจำกัด ต้องแบ่งกันนั่งให้พอ แม่ๆจึงนั่งซุกๆกันกระเถิบตัวเบียดๆกันตามซอกตามมุมเป็นประจำ
การถวายอาหารแก่พระสงฆ์ นั่นคือเราได้ถวายทาน (เราเป็นผู้ให้) พออีกแป๊บเดียวเราก็เปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ขอ(ทาน) อาหารที่เหลือจากพระสงฆ์มารับประทาน (จริงๆไม่ใช่อาหารเหลือ แต่เป็นอาหารในส่วนที่จัดไว้ให้เรารับประทานอยู่แล้ว แต่เราถวายท่านหมดแล้ว ก็เลยต้องขอจากท่านมารับประทานอีกที) การตักอาหารเราจะตักต่อจากพระสงฆ์
การรับประทานอาหารมีกฏ คือ ต้องถอดรองเท้า สำรวมไม่พูดคุยเล่นขณะรับประทาน การขอ อาหารจากพระสงฆ์ การกราบพระสงฆ์ ที่มีทั้งยศสูงกว่า ต่ำกว่า อายุมากกว่า และน้อยกว่า นี้ให้ความรู้สึกว่าในทางธรรมเรากราบกันที่ศีล การนั่งหมอบกราบลงบนพื้นทางเดินบ้าง พื้นห้องอาหารบ้างในเพศพรหมจาริณี ทำให้ระลึกถึงการเป็นนักบวชที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่สะสมสิ่งใด อาหารเหล่านี้ได้จากผู้ใจบุญบริจาคทานมาให้ เขาตั้งใจให้ด้วยความประณีต เราจึง จะมีฉันมีรับประทาน การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของเราเป็นการแสดงกตัญญู ต่อครูบาอาจารย์และผู้บริจาคทาน นั่นคือ การเป็นเนื้อนาบุญ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราละวางตัวตนได้ดีจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น