หน้าเว็บ

8/26/2558

นักบวชสตรี ๒๕.วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ : พระมหาธาตุเฉลิมราชศรัทธาในหลวงตรัสว่า "เจดีย์ของฉัน"


     ช่วงหัวค่ำวันนี้ กองทัพธรรมได้ไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น   ปฏิบัติบูชา ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ วัดไทยแห่งนี้สวยงามมาก ประวัติของวัดแห่งนี้ คือ เริ่มการก่อสร้างตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๓๗ แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ ด้วยแรงศรัทธาของคณะสงฆ์ไทย คณะพุทธบริษัทชาวไทย และชาวพุทธในประเทศอินเดีย พร้อมใจกันสร้างขึ้น ณ เมืองกุสินารา อันเป็นสังเวชนียสถานที่ดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาคืนสู่มาตุภูมิ น้อมถวายเป็นพุทธบูชา และเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๗๒ พรรษา
    คณะกองทัพธรรมกว่าสองร้อยชีวิตได้เดินชมวัดที่มีความงดงาม ทำบุญ และซื้อของที่ระลึก จากนั้นก็มารวมตัวกันสวดมนต์และปฏิบัติบูชาที่พระมหาเจดีย์ "พระมหาธาตุเฉลิมราชศรัทธา"พระมหาเจดีย์แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานคำวินิจฉัยเป็นลำดับ และตั้งแต่เริ่มแรกการออกแบบ พระองค์ท่านยังแสดงถึงความเป็นพุทธมามกะที่พร้อมจะถวายกุศลอันยิ่งใหญ่แก่พระศาสนา โดยพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ในการก่อสร้าง และเมื่อการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อนำไปใช้เป็นทุนในการทำนุบำรุงให้ยั่งยืนตลอดไป อีกทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุกลับสู่แดนพุทธภูมิ และเส้นพระเจ้า เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานในพระธาตุเจดีย์ที่ได้มีพระราชกระแสรับสั่งแก่ผู้ใกล้ชิดว่า "เจดีย์ของฉัน"
    รูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมไทย ประสมประสานลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมของธาตุเจดีย์ที่ปรากฏในประเทศไทยมาแต่โบราณ ความสูงโดยรวมของ พระมหาเจดีย์จะไม่สูงเกินกว่าพระสถูปปรินิพพานที่สวนวโนทยาน(สาลวโนทยาน) คือสูงรวมไม่เกิน ๑๙ เมตร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงประกอบพิธียกยอดฉัตรพระมหาเจดีย์ พระมหาธาตุเฉลิมราชย์ศรัทธา เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๘ และทุกๆปีทางวังจะมีเครื่องมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ
       ภายในวัดมีความร่มรื่น สวยงาม สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก มีป้ายต่างๆบอกทาง อธิบายแนะนำในวัด มีพระอุโบสถ ออกแบบโดย  ร.ศ.ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์(๒๕๓๗) โดยเน้นให้เป็นศิลปะในรัชกาลปัจจุบัน  บานประตูหน้าต่างของโบสถ์เป็นไม้สาละอันเป็นเครื่องระลึกถึงต้นสาละคู่ในสวนของมัลลกษัตริย์ สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พื้นปูด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และหินทรายทั้งหลัง
    วัดแห่งนี้เผยแพร่พระพุทธศาสนาด้วยการช่วยเหลือชาวอินเดีย โดยมีโรงพยาบาล มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ให้บริการการรักษาโรคในอัตรา ๘ รูปีต่อคนและไม่คิดค่ารักษาในวันพระ (ทำให้ในวันพระมีผู้ป่วยมารักษาจำนวนมาก)  นอกจากนี้ยังจ้างงานแก่ชาวอินเดีย ๑๒ หมู่บ้าน ให้เป็นยาม แม่ครัว และคนสวนสิ่งเหล่านี้เองทำให้มีความใกล้ชิดกับชาวอินเดียในพื้นที่ จะเห็นได้จาก ในวันสำคัญต่างๆ เขาจะมานิมนต์พระไทยไปเป็นประธาน นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
    จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของวัดนี้ ได้แก่ ทางวัดได้จัดที่พักให้คนไทยที่มาจาริกแสวงบุญเข้าพัก เป็นที่พักที่สะอาดสะดวกสบาย ซึ่งในคราวนี้คณะภิกษุสงฆ์กองทัพธรรมก็ได้เข้าพักเช่นกันส่วนทีมงานและแม่ๆพรหมจาริณีก็เข้าพักที่โรงแรมใกล้ๆเช่นเคย
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น