หลังจากรับประทานอาหารและซื้อของฝากกันที่วัดไทย ๙๖๐ แล้ว คณะกองทัพธรรมได้เดินทางต่อไปยังประเทศเนปาล
ช่วงที่ข้ามผ่านแดนรอการตรวจสอบตามขั้นตอนประมาณสองชั่วโมง
จากนั้นขบวนรถบัสกองทัพธรรมก็ข้ามผ่านแดนสู่ประเทศเนปาล และไปถึงลุมพินีวัน
ประเทศเนปาลในเวลาประมาณห้าโมงเย็นลุมพินีวันนี้มีเนื้อที่ประมาณ
๒,๐๐๐ ไร่ และลุมพินีวันได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก
ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐
เมื่อเดินทางไปถึงปากทางเข้าลุมพินี
รถบัสได้จอดส่งคณะกองทัพธรรมให้เดินเท้าเข้าไปสู่สถานที่ประสูติ-สังเวชนียสถาน
วิหารมายาเทวี ระยะทางประมาณ ๑ - ๒ กิโลเมตร ในลุมพินีวันนี้เป็นสวนร่มรื่นพื้นที่สวยงามกว้างใหญ่คล้ายกับพุทธมณฑลในบ้านเรา เมื่อไปถึงได้เรียงแถวกันเข้าไปกราบอธิษฐานจิต
และปิดทองบนแผ่นหินภายในวิหาร
จากนั้นจึงออกมารวมตัวกันลานที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ภายนอกวิหาร เพื่อสวดมนต์และปฏิบัติบูชา
ณ สถานที่ประสูติ บรรยากาศยามเย็นร่มรื่น
แสงแดดเริ่มอ่อน ลมพัดเย็นสบาย ลมพัดแรงให้ความรู้สึกสดชื่นเบิกบาน ไม่กราดเกรี้ยวรุนแรงเหมือนที่นาลันทา ผู้คนที่มาแสวงบุญล้วนยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตร
มีชาวอินเดีย หรือเนปาลผู้เขียนไม่แน่ใจเพราะดูไม่ออกเนื่องจากหน้าตาและการแต่งกายคล้ายคลึงกัน
เขาเข้ามาทักทายพูดคุยแสดงตัวไหว้คุณแม่ ด้วยความเคารพศรัทธาและเป็นมิตร
ความรู้สึกในการมาสถานที่ประสูติในเวลานี้จึงมีแต่ ความสดชื่นเบิกบานใจแก่คณะกองทัพธรรมยิ่งนัก
ความร่มรื่นของอุทยานลุมพินีที่ผู้เขียนรู้สึกนี้
คงไม่เกินจริง เนื่องจากมีข้อมูลที่สืบค้นมากล่าวถึงสถานที่แห่งนี้ว่า
เป็นพระราชอุทยานลาดลุ่มร่มรื่นกึ่งกลางระหว่างทางสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของกษัตริย์และประชาชน
สภาพ ของลุมพินีวันในสมัยนั้นอาจจะพิจารณาได้จากคัมภีร์วิสุทธชนวิลาสินีอรรถกถาขุททกนิกาย อุปทาน
ได้พรรณนาเป็นภาษาบาลีไว้ว่า
"ทวินฺนํ ปน นครานํ
อนฺตเร อุภยนครวาสีนมฺปิ ลุมพินีวนํ นาม มงฺคลสาลวนํ อตฺถิ, ตสฺมึ
สมเย มูลโต ปฏฺฐาย ยาว อคฺคสาขา สพฺพํ เอกปาลิผุลฺลํ อโหสิ สาขนฺตเรหิ เจว
ปุปฺผนฺตเรหิ จ ปญฺจวณฺณา ภมรคณา นานปฺปการา จ สกุณสงฺฆา มธุรสฺสเรน วิกูชนฺตา
สกลํ ลุมฺพินีวนํ จิตฺตลตาวนสทิสํ ฯเปฯ"
แปลว่า : "ในระหว่างเมืองทั้งสอง
มีป่าสาละชื่อลุมพินีวันอันเป็นมงคล สมัยนั้น สาละทั้งหมดล้วนมีดอกออกสะพรั่งเป็นแนวเดียวกัน
แต่รากจนสุดปลายกิ่ง ตามกิ่งก้านสาขาและดอกนั้นล้วนมีหมู่ภมรนานาชนิด
และหมู่นกหลากหลายชนิดส่งเสียงกู่ร้องประสานสำเนียง ดังทั่วทั้งป่า ลุมพินีวันนั้นจึงประดุจเช่นเดียวกับสวนจิตรลดา
(อันมีในดาวดึงสเทวโลก) ฉะนั้น ฯลฯ"
ในวันนั้น
เมื่อสองพันหกร้อยกว่าปีมาแล้ว "พระนางสิริมหามายา"
พุทธมารดาทรงพระครรภ์แก่แล้ว จะเสด็จไปคลอดที่เมืองบ้านเกิด
คือ เมืองเทวทหะ
เมื่อกระบวนเสด็จมาระหว่างทาง พระนางเกิดประชวรพระครรภ์ จึงมีพระประสูติกาล ณ
ลุมพินีวัน สวนหลวงระหว่างพระนครทั้งสอง คือ กบิลพัสดุ์ และเทวทหะ ณ วันเพ็ญ เดือน
๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
การมีพระประสูติกาลของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระศาสดาเอกของโลก
มิได้เหมือนปุถุชนทั่วไป กล่าวคือ เมื่อมีพระประสูติกาลนั้น
พระนางสิริมหามายามิได้นั่งเหมือนสตรีทั่วไป กลับประทับยืน
พระหัตถ์ข้างหนึ่งเหนี่ยวกิ่งไม้สาละใต้ต้นสาละ
โดยไม่มีการประชวรพระครรภ์ให้เกิดทุกขเวทนาใดๆ การคลอดเป็นไปอย่างง่ายดาย เหมือนการเทน้ำออกจากกระบอก
เมื่อพระพุทธองค์ประสูติใหม่ๆนั้น พระกุมารน้อยมิได้แปดเปื้อนด้วยครรภ์มลทินใดๆ
คลอดออกมาประทับยืน พร้อมทั้งย่างพระบาทไปทางทิศเหนือได้ ๗
ก้าวมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท
พร้อมทั้งเปล่งอาสภิวาจา (คำที่กล่าวด้วยความองอาจ) ว่า
"อัคโคหะมัสมิ
โลกัสสะ เชฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เสฏโฐ หะมัสมิ โลกัสสะ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิ ชาติ
ปุนัพภะโวติ"
คำแปลดังนี้
"เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา การเกิดใหม่ของเราย่อมไม่มีอีก"
หลวงตาอธิบายว่า
การที่คนทั่วไปไม่เชื่อว่าจะจริงหรือที่พระพุทธองค์ในตอนนั้นซึ่งเด็กทารกเกิดใหม่จะเดินได้
๗ ก้าวและพูดได้
รวมถึงการประสูติของพระองค์ท่านที่มีความพิเศษดังได้กล่าวมาแล้ว
หลวงตาขอให้พวกเราลองคิดดูว่า สรรพสัตว์ต่างๆล้วนมีความแตกต่าง
มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตน อาทิเช่น ปลายังหายใจในน้ำได้ นกยังบินเหาะบนฟ้าได้ แล้วพระพุทธองค์ซึ่งมีหนึ่งเดียวในโลก พระองค์เดียวในโลก
เป็นศาสดาเอกของโลก
การเกิดของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ไม่ได้มีได้บ่อยๆ ดังเช่นในภัทรกัล์ป ของเรานี้
มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ (พระพุทธองค์ คือ องค์ที่ ๔)
การประสูติของพระองค์ท่านจึงพิเศษไม่เหมือนปุถุชนทั่วไปอย่างแน่นอน
ผู้เขียนฟังแล้วก็เห็นด้วย เพราะพระองค์ท่านทรงบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งมาหลายภพหลายชาติ กว่าที่จะมาเกิดในชาติสุดท้ายนี้
และเป็นศาสดาเอกของโลก
ความพิเศษของพระองค์ท่านย่อมต้องไม่เหมือนปุถุชนทั่วไปแน่นอน
หลังจากปฏิบัติบูชาเสร็จ
กองทัพธรรมได้เดินชมสถานที่อันกว้างใหญ่และได้ไปกราบพระพุทธรูปพระพุทธเจ้าองค์น้อยที่มีขนาดใหญ่ประดิษฐานบนลานกลางแจ้ง
จากนั้นก็ได้เดินเท้าต่อไปยังวัดไทยลุมพินี ที่อยู่ด้านนอก
(โดยรอบลุมพินีนี้เป็นสถานที่ที่ได้รับการจัดแบ่งให้สร้างวัดพุทธของชาติต่างๆ อาทิ
วัดพม่า วัดเขมร ฯลฯ)
ธรรมที่ได้จากการจาริกสังเวชนียสถานประสูติแห่งนี้ ได้แก่
ความสดชื่นเบิกบานของการประสูติของพระพุทธองค์
ที่เสมือนโลกรอมานานในการมาอุบัติเพื่อโปรดสรรพสัตว์ของพระองค์ท่าน พระพุทธศาสนาในยุคเรานี้มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี
และผ่านมาได้ ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว ความโชคดีของเราในชาตินี้ คือ
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
ผู้เขียนนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านกล่าวไว้ว่า
"พวกโยมมาปฏิบัติธรรมตอนนี้ยังทัน
เพราะพุทธศาสนายังมีอายุอีกเกือบ ๒,๔๐๐ ปี"
คำสอนนี้ตราตรึงในใจผู้เขียน
ในยามที่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อกับเรื่องโลกๆ ที่เรายังเอามาแบกมาหามไว้อยู่ไม่ยอมวาง
จะปลุกปลอบใจตนเองด้วยคำสอนนี้ ด้วยว่าเป็นกำลังใจให้ปฏิบัติต่อไป
ชาตินี้โชคดีนักที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา จงอย่าประมาท
ให้เร่งความเพียรชอบ เพื่อให้เป็นไปซึ่งความพ้นไปจากกระแสโลกด้วยเถิด
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนให้สัญญากับตัวเอง
ได้แก่ การทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการสนับสนุนการบวช
แต่ละครั้งที่บุตรชาย ลูกหลาน ลูกศิษย์ ลูกน้อง หรือใครก็ตามบวช
ผู้เขียนจะสนับสนุนตามกำลังและโอกาสจะอนุโมทนาบุญด้วยความปลื้มปีติ ด้วยเห็นว่าการบวชเป็นพระภิกษุนั้น คือ การได้เป็นบุตรของพระศาสดา
การที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระสุปฏิปันโณ หรือท่านได้บรรลุธรรม
เป็นพระอริยเจ้า เป็นอรหันต์
เป็นการโชคดีของเราที่ในยุคนี้ยังมีครูบาอาจารย์มาชี้แนะสั่งสอนฆราวาสอย่างเราให้ปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น
ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ต่อเนื่องยืนยาวจนครบ
๕,๐๐๐ ปี หากชาตินี้ไม่ทัน ก็ยัง ได้ สะสมอริยทรัพย์ไว้ต่อในชาติหน้า
ชาติหน้าจะได้ยังมีพระพุทธศาสนาที่พวกเราได้ทำนุบำรุงไว้คงอยู่ให้เราได้มาเกิดมาปฏิบัติต่อได้อีก
แต่หากเราละเลยปล่อย ให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอยไปจนไม่มีศรัทธา
ไม่มีพระสงฆ์ ไม่มีพระอริยเจ้า ไม่มีพระอรหันต์มาชี้แนะสั่งสอนคงจะยากที่ผู้มีสติปัญญาน้อยอย่างเราจะได้เห็นธรรมของพระพุทธองค์
เมื่อเสร็จจากการจาริกสังเวชนียสถานประสูติแล้ว
คณะกองทัพธรรมก็เดินเท้าออกมาที่วัดไทยลุมพินี ที่นี่แม่ๆ พี่เลี้ยงและทีมงานได้เตรียมน้ำปานะไว้ให้พวกเราได้ดื่ม
...สาธุ คืนนั้นคณะพระสงฆ์กองทัพธรรมก็จำวัดที่วัดไทยลุมพินีแห่งนี้
ส่วนแม่ๆ ก็พักในโรงแรมใกล้เคียงเช่นเคย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น