หน้าเว็บ

8/28/2558

นักบวชสตรี ๒๗. ลุมพินีวัน : สวนในดาวดึงส์ อุทยานแห่งความเบิกบานใจ


       หลังจากรับประทานอาหารและซื้อของฝากกันที่วัดไทย ๙๖๐ แล้ว คณะกองทัพธรรมได้เดินทางต่อไปยังประเทศเนปาล ช่วงที่ข้ามผ่านแดนรอการตรวจสอบตามขั้นตอนประมาณสองชั่วโมง จากนั้นขบวนรถบัสกองทัพธรรมก็ข้ามผ่านแดนสู่ประเทศเนปาล และไปถึงลุมพินีวัน ประเทศเนปาลในเวลาประมาณห้าโมงเย็นลุมพินีวันนี้มีเนื้อที่ประมาณ ๒,๐๐๐ ไร่ และลุมพินีวันได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐
     เมื่อเดินทางไปถึงปากทางเข้าลุมพินี รถบัสได้จอดส่งคณะกองทัพธรรมให้เดินเท้าเข้าไปสู่สถานที่ประสูติ-สังเวชนียสถาน วิหารมายาเทวี ระยะทางประมาณ ๑ - ๒ กิโลเมตร ในลุมพินีวันนี้เป็นสวนร่มรื่นพื้นที่สวยงามกว้างใหญ่คล้ายกับพุทธมณฑลในบ้านเรา  เมื่อไปถึงได้เรียงแถวกันเข้าไปกราบอธิษฐานจิต และปิดทองบนแผ่นหินภายในวิหาร จากนั้นจึงออกมารวมตัวกันลานที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ภายนอกวิหาร เพื่อสวดมนต์และปฏิบัติบูชา
     ณ สถานที่ประสูติ บรรยากาศยามเย็นร่มรื่น แสงแดดเริ่มอ่อน ลมพัดเย็นสบาย ลมพัดแรงให้ความรู้สึกสดชื่นเบิกบาน  ไม่กราดเกรี้ยวรุนแรงเหมือนที่นาลันทา ผู้คนที่มาแสวงบุญล้วนยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตร มีชาวอินเดีย หรือเนปาลผู้เขียนไม่แน่ใจเพราะดูไม่ออกเนื่องจากหน้าตาและการแต่งกายคล้ายคลึงกัน เขาเข้ามาทักทายพูดคุยแสดงตัวไหว้คุณแม่ ด้วยความเคารพศรัทธาและเป็นมิตร ความรู้สึกในการมาสถานที่ประสูติในเวลานี้จึงมีแต่  ความสดชื่นเบิกบานใจแก่คณะกองทัพธรรมยิ่งนัก 
     ความร่มรื่นของอุทยานลุมพินีที่ผู้เขียนรู้สึกนี้ คงไม่เกินจริง เนื่องจากมีข้อมูลที่สืบค้นมากล่าวถึงสถานที่แห่งนี้ว่า เป็นพระราชอุทยานลาดลุ่มร่มรื่นกึ่งกลางระหว่างทางสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของกษัตริย์และประชาชน สภาพ  ของลุมพินีวันในสมัยนั้นอาจจะพิจารณาได้จากคัมภีร์วิสุทธชนวิลาสินีอรรถกถาขุททกนิกาย อุปทาน ได้พรรณนาเป็นภาษาบาลีไว้ว่า
     "ทวินฺนํ ปน นครานํ อนฺตเร อุภยนครวาสีนมฺปิ ลุมพินีวนํ นาม มงฺคลสาลวนํ อตฺถิ, ตสฺมึ สมเย มูลโต ปฏฺฐาย ยาว อคฺคสาขา สพฺพํ เอกปาลิผุลฺลํ อโหสิ สาขนฺตเรหิ เจว ปุปฺผนฺตเรหิ จ ปญฺจวณฺณา ภมรคณา นานปฺปการา จ สกุณสงฺฆา มธุรสฺสเรน วิกูชนฺตา สกลํ ลุมฺพินีวนํ จิตฺตลตาวนสทิสํ ฯเปฯ"
     แปลว่า : "ในระหว่างเมืองทั้งสอง มีป่าสาละชื่อลุมพินีวันอันเป็นมงคล สมัยนั้น สาละทั้งหมดล้วนมีดอกออกสะพรั่งเป็นแนวเดียวกัน แต่รากจนสุดปลายกิ่ง ตามกิ่งก้านสาขาและดอกนั้นล้วนมีหมู่ภมรนานาชนิด และหมู่นกหลากหลายชนิดส่งเสียงกู่ร้องประสานสำเนียง ดังทั่วทั้งป่า ลุมพินีวันนั้นจึงประดุจเช่นเดียวกับสวนจิตรลดา (อันมีในดาวดึงสเทวโลก) ฉะนั้น ฯลฯ"
     ในวันนั้น เมื่อสองพันหกร้อยกว่าปีมาแล้ว   "พระนางสิริมหามายา" พุทธมารดาทรงพระครรภ์แก่แล้ว จะเสด็จไปคลอดที่เมืองบ้านเกิด คือ เมืองเทวทหะ เมื่อกระบวนเสด็จมาระหว่างทาง พระนางเกิดประชวรพระครรภ์ จึงมีพระประสูติกาล ณ ลุมพินีวัน สวนหลวงระหว่างพระนครทั้งสอง คือ กบิลพัสดุ์ และเทวทหะ ณ วันเพ็ญ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี
      การมีพระประสูติกาลของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระศาสดาเอกของโลก มิได้เหมือนปุถุชนทั่วไป กล่าวคือ เมื่อมีพระประสูติกาลนั้น พระนางสิริมหามายามิได้นั่งเหมือนสตรีทั่วไป กลับประทับยืน พระหัตถ์ข้างหนึ่งเหนี่ยวกิ่งไม้สาละใต้ต้นสาละ โดยไม่มีการประชวรพระครรภ์ให้เกิดทุกขเวทนาใดๆ การคลอดเป็นไปอย่างง่ายดาย เหมือนการเทน้ำออกจากกระบอก เมื่อพระพุทธองค์ประสูติใหม่ๆนั้น พระกุมารน้อยมิได้แปดเปื้อนด้วยครรภ์มลทินใดๆ คลอดออกมาประทับยืน พร้อมทั้งย่างพระบาทไปทางทิศเหนือได้ ๗ ก้าวมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท  พร้อมทั้งเปล่งอาสภิวาจา (คำที่กล่าวด้วยความองอาจ) ว่า
      "อัคโคหะมัสมิ โลกัสสะ เชฏโฐหะมัสมิ โลกัสสะ เสฏโฐ หะมัสมิ โลกัสสะ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิ ชาติ ปุนัพภะโวติ"
คำแปลดังนี้
     "เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา การเกิดใหม่ของเราย่อมไม่มีอีก"
      หลวงตาอธิบายว่า การที่คนทั่วไปไม่เชื่อว่าจะจริงหรือที่พระพุทธองค์ในตอนนั้นซึ่งเด็กทารกเกิดใหม่จะเดินได้ ๗ ก้าวและพูดได้  รวมถึงการประสูติของพระองค์ท่านที่มีความพิเศษดังได้กล่าวมาแล้ว หลวงตาขอให้พวกเราลองคิดดูว่า สรรพสัตว์ต่างๆล้วนมีความแตกต่าง มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตน อาทิเช่น ปลายังหายใจในน้ำได้ นกยังบินเหาะบนฟ้าได้   แล้วพระพุทธองค์ซึ่งมีหนึ่งเดียวในโลก พระองค์เดียวในโลก เป็นศาสดาเอกของโลก การเกิดของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ไม่ได้มีได้บ่อยๆ ดังเช่นในภัทรกัล์ป ของเรานี้ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ (พระพุทธองค์ คือ องค์ที่ ๔) การประสูติของพระองค์ท่านจึงพิเศษไม่เหมือนปุถุชนทั่วไปอย่างแน่นอน ผู้เขียนฟังแล้วก็เห็นด้วย เพราะพระองค์ท่านทรงบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งมาหลายภพหลายชาติ กว่าที่จะมาเกิดในชาติสุดท้ายนี้ และเป็นศาสดาเอกของโลก ความพิเศษของพระองค์ท่านย่อมต้องไม่เหมือนปุถุชนทั่วไปแน่นอน
     หลังจากปฏิบัติบูชาเสร็จ กองทัพธรรมได้เดินชมสถานที่อันกว้างใหญ่และได้ไปกราบพระพุทธรูปพระพุทธเจ้าองค์น้อยที่มีขนาดใหญ่ประดิษฐานบนลานกลางแจ้ง จากนั้นก็ได้เดินเท้าต่อไปยังวัดไทยลุมพินี ที่อยู่ด้านนอก (โดยรอบลุมพินีนี้เป็นสถานที่ที่ได้รับการจัดแบ่งให้สร้างวัดพุทธของชาติต่างๆ อาทิ วัดพม่า วัดเขมร ฯลฯ)
     ธรรมที่ได้จากการจาริกสังเวชนียสถานประสูติแห่งนี้ ได้แก่ ความสดชื่นเบิกบานของการประสูติของพระพุทธองค์ ที่เสมือนโลกรอมานานในการมาอุบัติเพื่อโปรดสรรพสัตว์ของพระองค์ท่าน พระพุทธศาสนาในยุคเรานี้มีอายุ ๕,๐๐๐ ปี และผ่านมาได้ ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว ความโชคดีของเราในชาตินี้ คือ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ผู้เขียนนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านกล่าวไว้ว่า
     "พวกโยมมาปฏิบัติธรรมตอนนี้ยังทัน เพราะพุทธศาสนายังมีอายุอีกเกือบ ๒,๔๐๐ ปี"
     คำสอนนี้ตราตรึงในใจผู้เขียน ในยามที่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อกับเรื่องโลกๆ ที่เรายังเอามาแบกมาหามไว้อยู่ไม่ยอมวาง จะปลุกปลอบใจตนเองด้วยคำสอนนี้ ด้วยว่าเป็นกำลังใจให้ปฏิบัติต่อไป ชาตินี้โชคดีนักที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา จงอย่าประมาท ให้เร่งความเพียรชอบ เพื่อให้เป็นไปซึ่งความพ้นไปจากกระแสโลกด้วยเถิด
     อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนให้สัญญากับตัวเอง ได้แก่ การทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการสนับสนุนการบวช แต่ละครั้งที่บุตรชาย ลูกหลาน ลูกศิษย์ ลูกน้อง หรือใครก็ตามบวช ผู้เขียนจะสนับสนุนตามกำลังและโอกาสจะอนุโมทนาบุญด้วยความปลื้มปีติ ด้วยเห็นว่าการบวชเป็นพระภิกษุนั้น คือ การได้เป็นบุตรของพระศาสดา การที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระสุปฏิปันโณ หรือท่านได้บรรลุธรรม เป็นพระอริยเจ้า เป็นอรหันต์ เป็นการโชคดีของเราที่ในยุคนี้ยังมีครูบาอาจารย์มาชี้แนะสั่งสอนฆราวาสอย่างเราให้ปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ต่อเนื่องยืนยาวจนครบ ๕,๐๐๐ ปี หากชาตินี้ไม่ทัน ก็ยัง ได้ สะสมอริยทรัพย์ไว้ต่อในชาติหน้า ชาติหน้าจะได้ยังมีพระพุทธศาสนาที่พวกเราได้ทำนุบำรุงไว้คงอยู่ให้เราได้มาเกิดมาปฏิบัติต่อได้อีก แต่หากเราละเลยปล่อย ให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอยไปจนไม่มีศรัทธา ไม่มีพระสงฆ์  ไม่มีพระอริยเจ้า ไม่มีพระอรหันต์มาชี้แนะสั่งสอนคงจะยากที่ผู้มีสติปัญญาน้อยอย่างเราจะได้เห็นธรรมของพระพุทธองค์    
     เมื่อเสร็จจากการจาริกสังเวชนียสถานประสูติแล้ว คณะกองทัพธรรมก็เดินเท้าออกมาที่วัดไทยลุมพินี ที่นี่แม่ๆ พี่เลี้ยงและทีมงานได้เตรียมน้ำปานะไว้ให้พวกเราได้ดื่ม ...สาธุ  คืนนั้นคณะพระสงฆ์กองทัพธรรมก็จำวัดที่วัดไทยลุมพินีแห่งนี้ ส่วนแม่ๆ ก็พักในโรงแรมใกล้เคียงเช่นเคย

 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น