หน้าเว็บ

8/24/2558

นักบวชสตรี ๒๒. สาลวโนทยาน : ความเศร้าโศกในใจไม่มีประมาณ


     การเดินทางจากเวสาลีสู่กุสินารานี้ มีระยะทาง ๑๗๐ กิโลเมตร หากเป็นบ้านเราก็คงเทียบได้กับการเดินทางจากกรุงเทพฯไปสัตหีบ ซึ่งทหารเรืออย่างเราเดินทางเป็นประจำ ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง แต่ที่อินเดียนี้ ถนนหนทางเป็นหลุมบ่อ ขรุขระ ทำให้พาหนะไม่สามารถทำความเร็วได้ เวลาที่ใช้ในการเดินทางจึงเป็นประมาณหกชั่วโมง
ขณะเดินทางบนรถบัสนี้ หลวงตาได้เมตตาเล่าให้แม่ๆฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น สิ่งที่หลวงตาถ่ายทอดนี้ ผู้เขียนจำได้ไม่หมด แต่ได้สืบค้นข้อมูลมาระลึกถึง การอ่านเรื่องราวในพุทธประวัติในช่วงที่พระพุทธองค์จะเสด็จปรินิพพานนี้  มีใจความที่ลึกซึ้ง จนยากที่จะตัดทอนส่วนใดออกไป การอ่านของผู้เขียนใช้การปฏิบัติธรรมตามที่ครูบาอาจารย์สอนให้ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ สติระลึกรู้ที่รูปกาย ซึ่งจะเห็นลมหายใจโดยอัตโนมัติ   ตาอ่านตัวอักษร ใจรู้สึก รู้สึกถึงถ้อยคำที่อ่าน ใช้ใจอ่าน ธรรมไหลเข้าสู่ใจ    รูป ได้แก่ ตัวอักษร รูปกาย เนื้อลมหายใจละเอียดที่หล่อเลี้ยงกาย นาม คือ ความรู้สึก รู้สึกที่ลมหายใจ รู้สึกที่ใจ เมื่อตากระทบรูป รู้นาม คือ รู้สึกที่ใจ  ครูบาอาจารย์ของผู้เขียน หลวงพ่อ ท่านใช้คำง่ายๆ สอนลูกศิษย์เสมอว่า
“มองไกลๆ แต่รู้สึกใกล้ๆได้มั้ยละโยม”
“ให้รู้ชัด แล้วมาชัดที่รู้นะโยม”
“สิ่งที่เคลื่อน คือ สิ่งที่ถูกรู้ ให้อยู่กับสิ่งที่ไม่เคลื่อน คือ ผู้รู้”
เมื่ออ่านด้วยใจเช่นนี้  ถ้อยธรรมจึงไหลเข้าสู่ใจ น้ำตาไหลด้วยระลึกถึงพระเมตตาไม่มีประมาณของพระองค์ท่าน ท่านมีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว สัจจะของพระองค์ท่านในการที่ทรงตรัสแล้วว่าจะเสด็จปรินิพพานแล้วไม่คืนคำ ธรรมที่ท่านให้ ล้วนแต่เป็นความจริงที่พวกเราไม่อาจปฏิเสธได้เลย ท่านทรงมีเมตตาต่อพวกเราตราบจนเสด็จพระปรินิพพาน หมู่สัตว์อย่างเรานี้เต็มไปด้วยความหลง หลงมัวเมา ในกระแสโลก ในลาภ ยศ สรรเสริญ ช่างน่าอนาถใจเหลือเกิน แม้ผู้ปฏิบัติธรรมอย่างเรา น้อมใจแล้วก็ตาม ยังมีความประมาท ความหลง อีกมากมายที่ต้องถอดถอน เรียกได้ว่า ยังเอาตัวไม่รอด ยังประมาทอยู่มากเหลือเกิน
หลวงตาเล่าว่า พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณของพระองค์เองว่าจะปรินิพพานในพรรษาที่ ๔๕ เมื่อทรงพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษาพอดี(ในขณะนั้นพระอัครสาวกทั้งสองคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ได้นิพพานไปแล้ว)  พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าวันเวลาสำหรับการจาริกสั่งสอนพระธรรมของพระองค์จวนจะสิ้นสุดลงแล้ว พระพุทธองค์ได้รู้สึกว่าชีวิตของพระองค์จะไม่ตั้งอยู่นานอีกต่อไปแล้ว และทรงตั้งพระทัยว่าจะเสด็จไปทาง  ทิศเหนือแถบตีนเขาหิมาลัยอันเป็น สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงคุ้นเคยเป็นอย่างดีในวัยหนุ่มเพื่อเสด็จพระปรินิพพาน ณ ที่นั้น จึงได้เสด็จจาริกไปจากพระเวฬุวันมหาวิหารที่กรุงราชคฤห์ พร้อมทั้งพระอานนท์และพระสาวกจำนวนมากมายตามเสด็จ  และเสด็จมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่พระพุทธองค์กำหนดไว้ว่าจะปรินิพพาน
ในระหว่างพรรษานี้ พระพุทธองค์ทรงประชวรอย่างหนัก มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนถึงกับจะปรินิพพาน แต่พระพุทธองค์ทรงระงับความเจ็บปวดทรมาน ด้วยการเข้าเจโตสมาธิอันไร้นิมิต จนทรงทุเลาจากการประชวร พระพุทธองค์ยังเป็นห่วงแต่พระอานนท์ที่ยังไม่เห็นธรรมบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงทรงแสดงนิมิตโอภาส ณ ปาวาลเจดีย์ เพื่อให้พระอานนท์ทูลขออาราธนานิมนต์ต่ออายุ  แต่พระอานนท์ไม่เข้าใจจึงมิได้ทูลขออาราธนาให้พระพุทธองค์อยู่ต่อ พระพุทธองค์จึงทรง “ปลงพระชนม์มายุสังขาร” คือตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า พระองค์จะปรินิพพานในวันวิสาขะปูรณมี คือ วันเพ็ญเดือนหก
อ่านถึงตรงนี้แล้วผู้เขียนระลึกถึงการอาราธนาครูบาอาจารย์ที่ท่านปลงอายุสังขารแล้ว ซึ่งยังมีอยู่ในปัจจุบันที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดจะทราบและขออาราธนาให้ท่านอยู่ต่อเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา
หลังจากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ เสด็จออกจากเมืองเวสาลีไปแสดงพระธรรมตามที่ต่าง ๆ จนถึงนครโภคะ ประทับพักที่อานันทเจดีย์ แล้วทรงแสดง“มหาปเทสสี่” ให้เป็นหลักสำหรับพิจารณาตัดสิน พระธรรมวินัยแก่ภิกษุสงฆ์ ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือนหก เหลืออีกเพียง ๑ วันจะครบรอบ ๓ เดือน พระพุทธองค์เสด็จถึงเมืองปาวา ประทับอยู่สวนมะม่วงของ “นายจุนทะ” ทรงแสดงพระธรรมโปรดนายจุนทะ จนได้บรรลุโสดาปัตติผล และนายจุนทะได้อาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วย พระสาวกไปฉันภัตตาหารที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น และพระพุทธองค์ก็ได้รับคำอาราธนานั้น
รุ่งอรุณของวันใหม่ ตรงกับวันเพ็ญเดือนหก ปีจอ เสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของนายจุนทะซึ่งเป็น การรับบิณฑบาตเป็นครั้งสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงฉัน “สุกรมัทวะ” (หมูปั้น) ที่นายจุนทะทำถวาย พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งห้ามไม่ให้สาวกทุกๆ รูปฉันสุกรมัทวะนั้น หลังจากอนุโมทนาแล้ว เสด็จออก จากบ้านนายจุนทะ ในระหว่างทางทรงประชวรหนักขึ้นถึงกับอุจจาระเป็นโลหิต แต่ทรงบรรเทาทุกขเวทนานั้นด้วยกำลังอทิวาสนักขันติ และญาณสมาบัติ
สำหรับนายจุนทะนี้ พระพุทธองค์เกรงว่าจะถูกกล่าวโทษ ได้ทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนเสด็จพระปรินิพพาน ว่า 
  "บิณฑบาตที่มีอนิสงส์ที่สุด มี ๒ อย่าง คือ เมื่อตถาคตเสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และเมื่อเสวยแล้วปรินิพพาน"
    จากนั้นทรงเสด็จเดินทางต่อไปทรงพักเหนื่อยเป็นระยะๆจนใกล้เมืองกุสินารา พระพุทธองค์ได้แวะพักเอาแรงใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง ในที่นั้นพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมสันติวิหารธรรมโปรด “ปุกกุสะ” จนบรรลุเป็นโสดาปัตติผล ต่อจากนั้นก็ได้เสด็จข้ามแม่น้ำกกุธานทีทรงพักผ่อนชั่วคราวหนึ่งแล้วเสด็จต่อ ไปถึงแม่น้ำหิรัญญวดี เขตเมืองกุสินารา
    ในตอนบ่ายของวันเพ็ญเดือนหก ปีจอ พระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์  ก็ได้เข้าถึงเขตเมืองกุสินาราแล้ว เสด็จเข้าไปในดงไม้สาละ ที่ชานเมืองกุสินารา พระพุทธองค์ได้ตรัสสั่งให้พระอานนท์จัดแท่นบรรทม ในระหว่างต้นไม้ ๒ ต้นคือ ต้นไม้รัง เพื่อพระพุทธองค์จะบรรทมไสยยาสน์ เรียกว่า “อนุฏฐานไสยาสน์” แปลว่าไม่คิดจะลุกขึ้นอีก เวลานั้น ต้นสาละทั้งคู่ได้ออกดอกสะพรั่งเต็มต้น โปรยดอกตกถูก พระพุทธ ศิระ ดังประหนึ่งจะถวายบูชาพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นการผิดปรกติ เพราะเวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ต้นสาละจะออกดอก พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสต่อพระอานนท์ว่า
“ดูก่อน อานนท์ เราพระองค์สรรเสริญการบูชาเช่นนี้ แต่ไม่ถือว่าเป็นการบูชาอันประเสริฐ เป็นการดีถ้าหากพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยให้สมควรแก่ธรรมที่เราพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วนั้น เราพระองค์สรรเสริญว่า เป็นการบูชาที่ประเสริฐสุด"
ขณะประทับอยู่ในอิริยาบทเช่นนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตลอดเวลา และทรงแนะนำพระอานนท์ให้ปฏิบัติต่อพุทธสรีระเช่นเดียวกับการปฏิบัติพระบรมศพของเจ้าจักรพรรดิ์ทั้งหลาย
บัดนี้ พระอานนท์รู้สึกว่าพระพุทธองค์กำลังจะลาจากท่านไปโดยแท้จริงแล้ว ก็มีความโศกเศร้าเป็น อย่างยิ่งจนไม่สามารถจะอดกลั้นได้ จึงได้หลบตัวไปแอบอยู่ เพื่อร้องไห้ในที่แห่งหนึ่ง รำพันว่า
“เรายัง ไม่เป็นเช่นภิกษุทั้งหลาย เรายังต้องศึกษาต่อไปอีก เรายังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ บัดนี้ พระศาสดาของเรากำลังจะล่วงลับไปโดยทิ้งเราไว้อยู่เบื้องหลัง เราจักอยู่แต่ผู้เดียวโดยปราศจากพระศาสดา ผู้ซึ่งมีเมตตาต่อเราตลอดมา”
น้ำตาอุ่น ๆ ได้ไหลนองเต็มหน้าของพระอานนท์ในขณะนั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงลืมตาขึ้นไม่เห็นพระอานนท์อยู่ในที่นั้น ก็ได้ตรัสถามพระภิกษุอื่นๆ พระพุทธองค์ ถามว่า
“อานนท์ไปไหน”
ภิกษุทูลตอบว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า อานนท์ได้หลบไปร้องไห้อยู่ในที่แห่งหนึ่งตามลำพัง ว่าท่านยังเป็นผู้ต้องศึกษา ยังไม่บรรลุธรรม ธรรมอันสูงสุด และพระศาสดาทรงมีพระเมตตาอยู่ตลอดเวลานั้นกำลังจะล่วงลับไป”
พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า
"ดูก่อน ภิกษุท่านจงไปตามพระ อานนท์มาเถิด และบอกว่าพระศาสดารับสั่งให้มาเฝ้า"
ภิกษุนั้นได้ไปบอกให้เข้ามาเฝ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสปลอบแก่พระอานนท์ด้วยพระทัยที่กรุณาเป็นอย่างยิ่งพระองค์ได้ทรงสรรเสริญ  พระอานนท์โดยตรัสว่า
“พระภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในกาลก่อน ล้วนแต่มีผู้อุปัฏฐากที่ประเสริฐ แต่ก็ไม่ยิ่งไปกว่าพระอานนท์ที่ได้กระทำแก่เรา ในกาลบัดนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายอันจะมีในอนาคตล้วนแต่จะมีอุปัฏฐากอันประเสริฐ แต่จะไม่ยิ่งไปกว่าพระอานนท์ที่ได้ทำ แก่เราแล้ว ในขณะนี้   พระอานนท์เป็นผู้อุปัฏฐากที่ดีที่สุด และเฉลียวฉลาดของเรา พระอานนท์ย่อมรู้จัก กาลเวลาอันเหมาะสมที่จะให้แขกผู้มาเยี่ยมเยียนเข้ามาเฝ้า   พระอานนท์ปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นด้วย ถ้อยคำที่น่าปลาบปลื้มปิติยิ่งหนักหนา แขกทุกคนได้รับความพอใจอย่างสูงสุดจากการต้อนรับของพระอานนท์เสมอ เมื่อพระอานนท์กล่าวถึงเรื่องราวใดๆ คนเหล่านั้นพากันสนใจฟัง ที่พระอานนท์ตั้งใจกล่าว พระอานนท์ได้เป็นผู้อุปัฏฐากที่ดีเลิศของเราพระองค์เช่นนี้ตลอดมา”
ต่อจากนั้นพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าขอพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์อย่าได้ด่วนเสด็จปรินิพพานในเขตเมืองป่าเมืองดอยที่ไม่สมควรเช่นนี้เลย นครใหญ่ ๆ เช่น กรุงราชคฤห์ กรุงสาวัตถี เมืองเวสาลีและเมืองอื่นๆ ก็มีอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงพอพระทัย ที่จะเสด็จปรินิพพานในเมืองใดเมืองหนึ่งในบรรดาเมืองเหล่านั้น ผู้มีอำนาจวาสนาซึ่งเป็นสาวกของ พระองค์มีอยู่มากมาย เขาเหล่านั้นจะเอาภาระในการจัดพระศพของ พระผู้มีพระภาคเจ้าให้สมบูรณ์ทุกประการ”
ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญเดือนหก ปีจอ ตอนหัวค่ำพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้แก่พระสงฆ์ ถึงเวลาใกล้พระองค์จะเสด็จพระปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสสั่งให้พระอานนท์ไปแจ้งข่าวปรินิพพานให้ บรรดากษัตริย์ทราบ พุทธบริษัท เหล่าประชาชนชาวเมืองให้ได้ทราบโดยทั่วถึงกัน ให้จัดเตรียม ดอกไม้ ธูป เทียน ไปยังป่าสาละวัน พระอานนท์ก็ได้จัดให้มัลละกษัตริย์เหล่านั้น พร้อมด้วยบริวารเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า
เมื่อบรรดามัลละกษัตริย์ และประชาชนเมืองกุสินาราได้ฟังข่าวพระปรินิพพานจากพระอานนท์ ดังนั้นก็พากันเศร้าโศก และคร่ำครวญว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จปรินิพพานไวเกินไปเสียแล้ว ดวงประทีป ของโลกดับไวเกินไปเสียแล้ว ชาวเมืองกุสินาราทั้งหญิงและชาย พร้อมเด็กน้อยต่างก็พากันโศกเศร้า คร่ำครวญออกมาสู่ดงไม้สาละ อันเป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ได้ประทับอยู่ในขณะนั้น เพื่อจะได้เข้าเฝ้า และแสดงความอาลัยอาวรณ์ ได้กล่าวคำอำลาเป็นครั้งสุดท้ายกับพระพุทธองค์ ชาวเมืองกุสินาราคณะหนึ่งๆ โดยมีผู้นำคนหนึ่งๆ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตามลำดับ และได้กล่าวถวายอาลัยใน พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยกันทุกๆ คน
“สุภัททะปริพาชก” ได้เข้าไปทูลถามข้อข้องใจ แต่ถูกพระอานนท์ห้ามเอาไว้ เพราะเป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จพระปรินิพพานพระพุทธองค์รู้ว่า สุภัททะปริพาชกผู้ได้อุตสาหะเดินทางมาไกลและเต็มไปด้วยความเหนื่อยยาก ทรงตรัสสั่งให้พระอานนท์ไปนำเอาตัวของสุภัททะปริพาชกมาเข้าเฝ้าทันที เพื่อให้เขาได้ทูลถามข้อสงสัย และเมื่อพระพุทธองค์ได้แสดงพระธรรมตอบสุภัททะปริพาชกก็หายความสงสัยในใจและได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุโสดาบันแล้ว จึงขออุปสมบทเป็นเอหิภกขุ  เมื่อบวชแล้วได้พิจารณาธรรมที่พระพุทธองค์ให้ ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที พระสุภัททะ จึงเป็นพระสาวกและพระอรหันต์รูปสุดท้ายของพระศาสดา พระพุทธเจ้าประทานโอวาทเป็นครั้งสุดท้ายแก่พระสาวกของพระพุทธองค์ว่า
     “อานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดีที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา”
       พระพุทธองค์ได้ทรงเปล่งวาจาอันเป็นพระปัจฉิมโอวาทว่า
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา  เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
สิ้นพระสุรเสียงนี้ พระพุทธองค์ ก็สงบไปและไม่ได้ตรัสอะไรอีก พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์สู่พระปรินิพพานในเวลาสุดท้ายแห่งคืนพระจันทร์เต็มดวงของคืนวันเพ็ญเดือนหก (วิสาขะ) พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติพุทธกิจอันหนักหน่วงเป็นเวลา ๔๕ พรรษา โดยไม่ได้พักผ่อนจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน
ในช่วงบ่าย เมื่อกองทัพธรรมเดินทางถึงสาลวโนทยานแล้ว  ได้ปฏิบัติบูชาด้วยการสวดมนต์ นั่งภาวนา ก่อนที่จะผลัดกันเข้าไปกราบพระพุทธรูปปางพระปรินิพพานที่เป็นตัวแทนของพุทธองค์ภายใน "มหาปรินิพพานวิหาร" และเดินเวียนรอบ “พระสถูปปรินิพพาน” อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธองค์ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างไว้ขณะสวดมนต์  ผู้เขียนน้อมใจระลึกถึงพระพุทธองค์ ณ สถานที่แห่งนี้ พระพุทธองค์ทรงประทับนอน และกล่าวพุทธโอวาทเป็นครั้งสุดท้าย
ณ สังเวชนียสถานแห่งนี้ ภายในใจผู้เขียนมีแต่ความเศร้าโศกความอาลั อาวรณ์ ขณะสวดน้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆมันไหลออกมาเอง  การร้องไห้นี้ไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยอารมณ์กระทบภายนอก หากแต่ข้างในใจมันเศร้าโศกอาลัย มันร้องไห้จากข้างใน จนปรากฏออกมาเป็นอาการทางกาย สวดมนต์ไปน้ำตาไหลพรากไป พระพุทธองค์ที่พึ่งของลูก ที่พึ่งแห่งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ครานั้นท่านประทับนอนอยู่ ณ ใต้ต้นสาละคู่  มีพระสงฆ์สาวกและพุทธบริษัทเข้าเฝ้าอยู่เนืองแน่นสุดสายตา ท่านกำลังจะเสด็จจากเราไปแล้ว พุทธโอวาทครั้งสุดท้ายก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ    
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา  เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”
          ในเวลานั้นผู้เขียนได้แต่ปลุกปลอบใจตัวเอง ด้วยพุทธโอวาทก่อนประโยคสุดท้าย ที่พระองค์ท่านทรงตรัสว่า
“อานนท์ ธรรมก็ดี วินัยก็ดีที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา”
พระองค์ท่านได้ให้พระธรรมเป็นเครื่องนำทางแก่พวกเรา พระองค์ท่านเสด็จปรินิพพานแล้ว เราไม่ได้เข้าเฝ้าท่านแล้ว หนทางเดียวที่เราจะได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์อีก ก็คืออยู่กับธรรมของพระพุทธองค์ ขอให้เห็นธรรมในใจเสมือนได้มีพระพุทธองค์อยู่ในใจ การที่เราขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม เราส่งใจออกไปขอด้วยความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่แท้จริงแล้ว ดวงตาเห็นธรรม นั่นคือ เห็นธรรมในใจเราต่างหาก ไม่ต้องไปเอากับข้างนอก กับของโลกๆ ขอให้เห็นธรรมในใจของเรา ให้ใจของเรามันเรียนรู้  เข้าใจ ยอมรับความจริงแห่งอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เพื่อถอดถอน ละวาง เหตุแห่งทุกข์ไปได้ตามลำดับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น