ตารางการปฏิบัติในช่วงสุดท้ายของกองทัพธรรม ได้แก่ ยังคงไปสวดมนต์ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซื้อของฝากทางบ้าน ทำพิธีขอขมาซึ่งกันและกัน กราบขอขมาครูบาอาจารย์ กราบลาคุณแม่และทยอยเดินทางกลับเป็นคณะๆเช่นเดียวกับขามา โดยคณะผู้เขียนเดินทางถึงประเทศไทยในเช้าวันอังคารที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๔๗ โดยสวัสดิภาพ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๒๐ วัน
ช่วงที่กองทัพธรรมไปสวดมนต์ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ กองทัพธรรมได้มีโอกาสเข้าไปกราบพระพุทธเมตตา พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานภายในมหาเจดีย์พุทธคยา มีอายุประมาณ ๑๔๐๐ ปี พระพุทธเมตตาเป็นพระพุทธรูปที่มีความงดงามมาก และเป็นพระพุทธรูปที่เป็นศูนย์รวมใจของชาวพุทธที่ต้องเข้าไปกราบสักการะ ที่นี่เองที่พระสงฆ์กองทัพธรรมบางท่านได้รับผ้าครององค์พระพุทธเมตตาที่เจ้าหน้าที่จะเปลี่ยนทุกวันและมอบให้กับผู้ที่เข้าไปกราบสักการะ
เย็นวันหนึ่งขณะที่ผู้เขียนและเพื่อนแม่ใหม่เดินเท้าออกมาจากมหาเจดีย์ฯ ทิดใหม่รุ่นน้องทหารเรือได้เร่งฝีเท้าเดินตามผู้เขียนมาจนทันและสนทนากับผู้เขียนว่า
"ครูครับ ผมได้ผ้าที่ห่มพระพุทธเมตตามา และอยากมอบให้ครูนำไปบูชาครับ"
ผู้เขียนตอบไปว่า
"ได้ๆ บางท่านได้มาแล้ว ไม่บูชาเอง เพราะอาจไม่สะดวก หรือไม่มีที่เหมาะสม แต่มอบให้ผู้ที่เหมาะสมไปบูชาต่อได้"
ในใจตอนนั้นไม่ได้นึกอะไร นึกแต่ว่าบ้านเรามีห้องพระ นำไปบูชาไว้ในห้องพระบ้านเราได้ ผ้าผืนนี้จึงเป็นสิ่งที่มีค่าทางใจอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนประทับใจ และรู้สึกขอบใจทิดใหม่ที่นำมามอบให้ สำหรับผ้าผืนนี้ ผู้เขียนมีหน้าที่เป็นเพียงผู้รักษาไว้ เพื่อนำไปส่งต่อ โดยผู้เขียนได้ตั้งจิตไว้เกี่ยวกับการนำผ้าผืนนี้ไปสู่สถานที่ที่เหมาะสมแล้ว แต่ยังไม่อาจเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบในตอนนี้
การร่ำลาประเทศอินเดียครั้งสุดท้ายที่ประทับใจผู้เขียน คือ แม่ๆรวบรวมเงินกันให้รางวัลคนขับและเด็กประจำรถ เงินยอดนี้สำหรับหลายๆคนเป็นเงินก้อนสุดท้าย ที่เรามอบให้ด้วยความขอบคุณ ผู้เขียนและเพื่อนแม่ใหม่มอบให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณเขาที่ได้ดูแลเราอย่างดีตลอดการเดินทาง สุดท้ายเขาได้กล่าวขอบคุณและกล่าวลาเราด้วยดวงตาที่เป็นมิตรและจริงใจ การแบ่งปัน มิตรภาพ และรอยยิ้มนี่เองที่ประทับในใจเรา
เมื่อถึงเมืองไทย กองทัพธรรมต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ทหารเรือส่วนหนึ่งได้เดินทางกลับโดยรถบัสปรับอากาศของกรมขนส่งทหารเรือ พี่ทหารเรือทิดใหม่ท่านหนึ่งได้หันมาบอกว่า
“ใครพอมีตังค์เหลือบ้างครับ ตังค์ผมเหลือนิดเดียวไม่พอ ผมขอรวบรวมเงินเป็นค่าทางด่วนและรางวัลพลขับที่มารับเราแต่เช้ามืด”
นี่คงเป็นทานครั้งสุดท้าย เงินในกระเป๋าทุกคนหมดบ้าง เหลือเล็กน้อยพอค่ารถกลับบ้านบ้าง เงินในกระเป๋าไม่มี เพราะเวลานี้มันได้แปลงเป็นอริยทรัพย์เข้าไปสะสมไว้ในใจเราเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้เขียนแล้วการบวชเป็นพรหมจาริณี คือ การเกิดใหม่ในเพศพรหมจรรย์ และการลาสิกขาก็เป็นการกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีกครั้ง กราบขอบพระคุณหลวงตา และคุณแม่อย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้ให้โอกาสพวกเราได้เกิดใหม่พร้อมอริยทรัพย์ที่สะสมไว้ในใจ
ประสบการณ์การจาริกแสวงบุญของกองทัพธรรมได้ดำเนินมาจนสิ้นสุดแล้ว ใจมันเชื่อมั่นแล้วว่าพระพุทธเจ้ามีจริงตามที่ปรากฏในการจาริกแสวงบุญ ยังที่ต่างๆ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์จะเป็นเครื่องนำเราไปสู่ความพ้นทุกข์ ธรรมะของพุทธศาสนายังคงเป็นจริง ไม่ได้เสื่อม สิ่งภายนอกต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไป พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังมีอยู่ การยึดมั่นในพระพุทธศาสนา การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นหน้าที่ของเราชาวพุทธที่จะต้องช่วยกันรักษาและสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ไม่เสื่อมถอยไป และไม่ทำสิ่งที่เป็นการทอนอายุพระพุทธศาสนา
ถ้าจะกล่าวถึงพระคุณครูบาอาจารย์แล้ว หลวงตาเสมือนผู้ให้ความรู้เรื่องราวความเข้าใจในพุทธประวัติในแง่มุมที่ลึกซึ้ง คุณแม่เสมือนผู้ให้ความตั้งมั่น อดทน อดกลั้น เด็ดเดี่ยว และความศรัทธาที่เต็มเปี่ยมในใจ ผู้เขียนขออัญเชิญคำสอนของคุณแม่ ที่แม่ใหม่รุ่นพี่บันทึกไว้อย่างน่าจดจำและปฏิบัติตาม ดังนี้
๑. ให้คิดดี พูดดี ทำดี
๒. ไม่ตำหนิผู้อื่นให้เกิดบาปเวรต่อกัน
๓. การรู้จักกาละเทศะ
๔. การซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน
๕. ไม่ให้ว่า ไม่ให้ค่อนขอดกัน ขอให้เมตตากัน
๖. ให้เอาบารมี ๑๐ ทัศ เป็นอุปกรณ์ในการสร้างบุญบารมี
๗. อย่ามัวแต่หาสตางค์ ให้หาสติ
๘. บุญยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี
ขอให้สิ่งที่ผู้เขียนถ่ายทอดนี้ เป็นเหตุและปัจจัยให้มีผู้ตัดสินใจสละทางโลกออกบวชแสวงบุญในรุ่นต่อๆไป และเป็นกำลังใจให้โยมอุปัฏฐากและทีมงานที่ดูแลพวกเราด้วยความเสียสละทั้งทรัพย์ ทั้งแรงกายและเวลา อย่างเหนื่อยยาก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สูญเปล่า แต่หาก คือ การสร้างเนื้อนาบุญ สร้างเมล็ดพันธุ์แห่งพระพุทธศาสนา ดังคำสอนของหลวงพ่อ ที่ว่า
"ธรรมมะนั้นไม่ได้อยู่ห่างไกลจากใจเจ้าของแต่อย่างใดเลย หากแต่เรามัวแต่ส่งใจออกนอก ไปเที่ยวจนเพลิดเพลินหลงใหลไปกับสิ่งต่างๆภายนอก จนแก่ไปทุกวันๆแล้วยังไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักพอ จนหาทางกลับบ้านสู่ใจของตนไม่ถูกแล้ว ทุกคนล้วนแต่มี "เมล็ดพุทธะ" อยู่ในบ้านใจของตน แต่กลับไปพอใจ สนุกสนานแต่ในบ้านข้างนอก หากพอเมื่อไร วางเมื่อไร เราจะพบว่าความสุขที่แท้อยู่ในบ้านใจของเรานั่นเอง"
ที่สุดนี้ ผู้เขียนขอน้อมใจกราบบูชาคุณครูบาอาจารย์ ที่เมตตาแนะนำสั่งสอนก่อนไปจาริกฯ กราบหลวงตาที่เมตตาบวชให้ ให้ธรรม และเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง กราบพระพี่เลี้ยง กราบคุณแม่ที่ให้โอกาสในการไปจาริกแสวงบุญ กราบแม่พี่เลี้ยง กราบโยมอุปัฏฐาก กราบเจ้าภาพที่บริจาคปัจจัยให้ผู้เขียนได้ไปในครั้งนี้ กราบครูบาอาจารย์ของผู้เขียน ที่ท่านสอนให้มีสติระลึกรู้กายใจ คุณแม่ที่มีเมตตาให้ธรรม ให้ศรัทธา ให้ความตั้งมั่น และให้โอกาสในการสร้างบุญบารมี รวมถึงกองทัพธรรม ทีมงานทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบุญกุศลครั้งนี้ จึงขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านมา ณ ที่นี้...สาธุ...สาธุ...สาธุ อนุโมทามิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น