เรื่องราวการจาริกแสวงบุญของกองทัพธรรมดูเหมือนจะใกล้สิ้นสุดลงในไม่ช้า
เมื่อกลับจากบ้านนางสุชาดาแล้ว พระสงฆ์กองทัพธรรมก็รับวุฒิบัตร และลาสิกขา กลับมาเป็นฆราวาสตามเดิม
คำกล่าวในการลาสิกขานี้ ผู้เขียนจำได้ตั้งแต่ตอนที่บุตรชายนักเรียนนายเรือบวช
และกล่าวลาสิกขาด้วยถ้อยคำง่ายๆแต่มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก
พุทธัง
ปัจจักขามะ ธัมมัง ปัจจักขามะ สังฆัง ปัจจักขามะ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาพระพุทธเจ้า
ขอลาพระธรรม ขอลาพระสงฆ์
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาพระพุทธเจ้า
ขอลาพระธรรม ขอลาพระสงฆ์
วินะยัง
ปัจจักขามะ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาพระวินัย
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาพระวินัย
สิกขังปัจจักขามะ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาสิกขาบท
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอลาสิกขาบท
คิหิโต
โน ธาเรนตุ
ขอท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงจำข้าพเจ้าไว้ว่า บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นคฤหัสถ์ สามัญชนแล้ว
ขอท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงจำข้าพเจ้าไว้ว่า บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นคฤหัสถ์ สามัญชนแล้ว
(กล่าว
๓ จบ)
ประโยคสุดท้ายนี้ผู้เขียนจำได้แม่น
เพราะว่า ตอนที่ลูกชายลาสิกขาแล้ว หลวงพ่อกล่าวให้พรว่า
"สึกแล้วเป็นเทพบุตรนะ"
คำว่า “เทพบุตร” นี้ แปลว่า เทวดาผู้ชาย ซึ่งเป็นคำให้พรที่ลึกซึ้งและประเสริฐมาก
ด้วยว่ามนุษย์มีศีลห้า ส่วนเทวดา ท่านว่า มี "หิริโอตัปปะ"หมายถึง
ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป หิริโอตัปปะ
ถือว่าเป็น "โลกบาลธรรม" ซึ่งหมายถึงธรรมที่รักษาคุ้มครองโลก
ทำให้หมู่สัตว์ (รวมถึงมนุษย์) อยู่ร่วมต่อกันอย่างปกติสุขตามสมควร
นอกจากจะเรียกว่าเป็นโลกบาลธรรมแล้ว ยังถือว่าเป็น "เทวธรรม"
ซึ่งหมายถึงธรรมที่จะสร้างคนให้เป็นเทพบุตรเทพธิดาด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์นั่นเอง ดังนั้น การที่เรามีหิริโอตัปปะ จะเป็นคนที่ไม่ยอมทำบาป
จึงเป็นคนที่มีสติเตือนตัวเองตลอดเวลาอีกด้วย
อ่านถึงตรงนี้แล้วคงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม
ด้วยว่า ก่อนบวชถ้าเรามีศีลห้าเราก็มีศีลที่เป็นหลักประกันความเป็นมนุษย์
เมื่อบวชเป็นภิกษุก็มีศีล ๒๒๗ ข้อ พอสึกออกมาเป็นฆราวาสแล้ว
ท่านให้พรว่าเป็นเทพบุตร
นั่นหมายถึงนอกจากจะมีศีลห้าแล้วยังมีหิริโอตัปปะซึ่งเป็นธรรมของเทวดาอีกด้วย
จึงนับว่าเป็นศิริมงคลอย่างยิ่ง
สำหรับแม่พรหมจาริณีก็ได้ลาศีล
๘ ที่โรงแรมที่พักในตอนเย็นวันเดียวกันนั้นเอง ผู้เขียนนึกในใจว่า
ตอนบวชก็บวชเอามืดค่ำ ตอนสึกก็ตอนเย็นเหมือนกัน สึกกันด้วยพิธีง่ายๆ
ที่หลวงตาเมตตามาสึกให้ที่ที่พัก แต่นั่นล้วนเป็นสมมุติทั้งสิ้น ถึงเวลานี้เสียงสวดมนต์ที่เคยดังก้องมาตลอดการจาริก
เริ่มจางหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้
ตัวผู้เขียนเองรู้สึกอาลัยในเพศพรหมจาริณี
ด้วยว่าเหมือนอีกโลกหนึ่งที่ติดดินมาก ปราศจากยศฐาบรรดาศักดิ์ ปราศจากลูกน้อง
ปราศจากความวุ่นวายในหน้าที่การงาน การกินการนอนก็ตามแต่เขาจะจัดให้
ความเป็นอยู่ในเพศนี้จึงเป็นการอยู่ตามสมควร ไม่มีการสะสม
จึงไม่มีภาระที่ต้องแบกเหมือนตอนที่เราอยู่ทางโลก ที่มีความรุงรังทั้งครอบครัว
การงาน ทรัพย์สิน หนี้สิน บ้านช่อง รถรา ล้วนแต่ผ่อนส่ง
หาเงินมาได้ก็เอามากินมาใช้ มาผ่อนส่งของมาใช้เพื่อความสะดวกสบาย
ตามฐานะข้าราชการทหารที่เงินเดือนไม่มากมายพอที่จะหรูหราได้
การใช้ชีวิตในเพศพรหมจาริณีจึงเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่ได้เข้าใจและได้เรียนรู้อะไรมากมายในทางธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น