หลังการจาริกยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
กองทัพธรรมได้เดินทางกลับมาสู่จุดตั้งต้น คือ พุทธคยา ตำบลตรัสรู้ เช้ามืดวันศุกร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗
กองทัพธรรมตื่นนอนแต่เช้าเพื่อเดินทาง เพื่อเดินทางไปยังบ้านนางสุชาดา
ซึ่งเป็นผู้ถวายข้าวมธุปายาสพร้อมถาดทองคำแก่พระพุทธองค์ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้
ในเช้าวันเพ็ญวิสาขะ หรือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ อันเป็นวันครบรอบพระชันษา ๓๕ พรรษาของพระพุทธองค์ ด้วยเข้าใจว่าพระองค์ท่านเป็นรุกขเทวดา
ที่ต้นไทรที่ตนต้องการจะแก้บน ในครานั้นพระองค์ทรงรับถาดข้าวมธุปายาสแล้วทอดพระเนตรแลดูนาง
นางสุชาดาจึงทูลถวายว่า
“ข้าแต่พระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอถวายมธุปายาสกับทั้งภาชนะทองอันรองใส่
ขอพระองค์จงรับโดยควรแก่พระหฤทัยปรารถนา”
เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาเรียบร้อยแล้วจึงทรงอธิษฐานลอยถาดลงในแม่น้ำเนรัญชราว่า
ถ้าจะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในราตรีนั้นแน่แล้ว
ขอให้ถาดทองนี้จงลอยทวนน้ำขึ้นไป ถาดก็ลอยไปทางเหนือน้ำได้ ๘๐ ศอก
แล้วก็จมลงสู่บาดาลเบื้องล่าง ถาดทองใบนั้นได้ไปกระทบกับถาดของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ
เกิดเสียงดังขึ้น ทำให้พญานาคราชลืมตาตื่นขึ้นมาดู พร้อมกับพึมพำว่า
"พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้อีกองค์แล้วหรือนี่
!!! "
ตอนเย็นพระองค์ทรงรับหญ้ากุสะ
ที่นายโสตถิยะน้อมถวาย ๘ กำมือ แล้วพระองค์จึงเสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชรามาสู่ฝั่งต้นพระศรีมหาโพธิ์
ทรงลาดหญ้ากุสะลงบนโคนแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ แล้วทำเป็นดุจรัตนบัลลังก์
จากนั้นก็เสด็จขึ้นประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์นั้น ผิดพระพักตร์ไปสู่บูรพาทิศ
พร้อมตั้งจิตอธิษฐานอย่างแน่วแน่ว่า
"แม้เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไป
เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที ถ้ายังไม่บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
เราจะไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ไป"
ในที่สุดพระองค์ก็ตรัสรู้ก่อนอรุณรุ่งของคืนนั้น
สำหรับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา
ถือเป็น ภัตตาหารมื้อแรกหรือ การถวายอันสำคัญก่อนที่พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ข้าวมธุปายาสนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง กล่าวคือ พระองค์ทรงปั้นเป็นปั้นๆ
ได้ ๔๙ ปั้นแล้วเสวยจนหมด ซึ่งถือเป็นอาหารทิพย์อันจะคุ้มได้ถึง ๔๙ วัน
ในการเสวยวิมุตติสุขภายหลังการตรัสรู้
เมื่อมาดูวิธีการปรุงข้าวมธุปายาสนับว่าเป็นทานที่มีความปราณีตอย่างยิ่ง
กล่าวคือข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาได้ทำนั้น
นางได้จัดเตรียมด้วยความปราณีตพิถีพิถัน ด้วยการเลี้ยงแม่โคไว้รีดนมจำนวน ๖๐ ตัว
และนำน้ำนมของแม่โคทั้ง ๖๐ ตัวนั้น ใช้เลี้ยงแม่โคอื่นอีก ๕๐ ตัว และน้ำนมแห่งโคทั้ง
๕๐ ตัวนี้ เลี้ยงแม่โคตัวอื่นอีก ๒๕ ตัว แล้วนำน้ำนมแม่โค ๒๕
ตัวนี้เลี้ยงแม่โคอื่นอีก ๑๒ ตัว ในที่สุดนำน้ำนมแห่งแม่โค ๑๒
ตัวนี้ใช้เลี้ยงแม่โค ๖ ตัว แล้วคัดสรรแม่โคว่างามยิ่ง ๑ ตัว แล้วนำน้ำนมแม่โค ๑
ตัวนี้ ไปผสมกับแก่นจันทร์และเครื่องเทศอันละเอียด แล้วเติมข้าวที่ได้จากการเก็บเกี่ยวคัดเลือกเมล็ดที่งดงามที่สุดในนาทุกแปลงนำมาผสมเป็นข้าวมธุปายาส
ข้าวยาคู หรือ ข้าวที่หุงด้วยน้ำนมโค
ครอบครัวของนางสุชาดานี้
ภายหลังพระพุทธองค์ได้โปรดบุตรชายของนางที่ชื่อ "ยสะ"
จนบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และโปรดสามีและยสะบุตรของนางในคราวเดียวกัน
จนสามีของนางได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันนับเป็น “อุบาสกคนแรก ที่ถึงพระรัตนตรัย” ส่วนยสะได้บรรลุอรหัตผลก่อนที่พระพุทธองค์จะประทานบวชให้ ตัวนางสุชาดาและอดีตภรรยาของยสะ
ได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์
และได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบันในพระพุทธศาสนาแสดงตนเป็นอุบาสิกา
ขอถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต เธอทั้งสองได้ชื่อว่า “เป็นอุบาสิกาคนแรกหรือรุ่นแรกที่ถึงพระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา” ด้วยเหตุนี้
พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องนางสุชาดา ในตำแหน่งเอตทัคคะ
ว่าเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้ถึงพระรัตนตรัยก่อนอุบาสิกาทั้งปวง
ความประทับใจในการจาริกยังบ้านนางสุชาดา
ได้แก่ ความประณีตของทาน คือ ข้าวมธุปายาส ที่ถวายพระพุทธองค์ ทานนี้ปราณีตมาก
ตั้งแต่มีความตั้งใจจัดทำ มีความตั้งใจถวาย และเมื่อถวายแล้วก็มีจิตที่ปีติเบิกบาน
และที่สำคัญเป็นอาหารมื้อแรกก่อนที่พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงนับว่าเป็นทานที่มีความสมบูรณ์หมดจดยิ่งนัก
เช้าวันนี้กองทัพธรรมได้มาจาริกยังบ้านนางสุชาดาซึ่งมีลักษณะเป็นสิ่งปลูกสร้างด้วยอิฐแดงก่อขนาดใหญ่ คุณแม่ได้นำคณะแม่ๆและทีมงานเลี้ยงพระสงฆ์กองทัพธรรม ณ ลานบ้านของนางสุชาดา คุณแม่ตักอาหารถวายพระสงฆ์สองร้อยกว่ารูปด้วยตนเอง ผู้เขียนและเพื่อนแม่ใหม่สังเกตเห็นว่าหม้อข้าวและหม้อกับข้าวมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ข้าวและกับข้าวที่ตักแจกนี้ คุณแม่ตักแจกได้ทั่วถึงทุกคน รวมทั้งแม่พรหมจาริณี และทีมงาน ได้รับอาหารเพียงพอแก่การรับประทานทุกคน
หลังจากเลี้ยงพระและทุกคนรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว
คุณแม่ได้เป็นผู้นำบุญ ให้นำกองทัพธรรมและทีมงานร่วมกันบริจาคทรัพย์เพื่อซื้อผักสด ถั่วฝักยาว
มะเขือ ผักกาด ฯลฯ จากชาวบ้านที่นำมาเร่ขาย แล้วนำมา
แจกมหาทานแก่ชาวบ้าน ที่อาศัยในบริเวณใกล้บ้านนางสุชาดาอีกครั้ง
การทำทานในวันนี้นับว่าเป็นทานที่มีความประณีตอีกครั้งของผู้เขียน
ด้วยว่าได้มีใจอยากจะร่วมทำตั้งแต่ก่อนทำ ขณะถวายเงินก็ถวายด้วยความเต็มใจ
ระหว่างแจกทานก็แจก
ด้วยความตั้งใจสงเคราะห์เขา
หลังทำจึงมีความปีติเบิกบานใจอย่างยิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น