กองทัพธรรมเดินทางถึงวัดเชตวันเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว
หลังจากสวดมนต์และปฏิบัติบูชาแล้ว จึงมีเวลาจำกัดในการจาริกในบริเวณวัด
สถานที่ที่สำคัญภายในวัดได้แก่ "พระมูลคันธกุฎี" ที่เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า
ผู้เขียนและเพื่อนแม่ๆได้ปิดทอง วางเทียนบูชา
ก้มลงกราบน้อมจิตน้อมใจระลึกถึงพระพุทธองค์ ท่านประทับอยู่ ณ
ที่นี้เป็นระยะเวลานานกว่าที่อื่นๆในพุทธประวัติ
สถานที่สำคัญอีกแห่งในบริเวณวัดเชตวัน
ที่กองทัพธรรมไปกราบสักการะ คือ "อานันทโพธิ์" ต้นโพธิ์ซึ่งชาวพุทธนับถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสองรองจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา
และนับเป็นต้นโพธิ์ที่อายุยืนยาวที่สุด (ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาต้นปัจจุบันเป็นต้นที่
๔ มีอายุ ๑๓๕ ปี)
ต้นโพธิ์นี้เป็นต้นโพธิ์ที่นำเมล็ดจากต้นพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกในสมัยพุทธกาลเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว
โดยมีประวัติที่น่าประทับใจคือเป็นต้นโพธิ์ที่ปลูกขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ในยามที่พระองค์ท่านเสด็จออกไปจาริกออกไปแสดงธรรมภายนอกพระเชตวัน
(พระพุทธองค์จะประทับที่วัดเชตวันเพียง ๓ เดือนในพรรษาเท่านั้น ส่วนอีก ๙
เดือนที่เหลือ พระองค์เสด็จจาริกออกไปแสดงธรรมในคามนิคมชนบทและหัวเมืองอื่น)
ชาวเมืองสาวัตถีในสมัยนั้น
มีความตั้งมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เวลาไปวัดจะนำดอกไม้ของหอมไปบูชาพระพุทธองค์
ตอนที่พระพุทธองค์ไม่อยู่ก็จะนำดอกไม้ธูปเทียนไปวางไว้ที่ประตูพระคันธกุฎี ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นเหตุนั้น
จึงขอร้องให้พระอานนท์ช่วยหาสถานที่สักการะแห่งหนึ่ง
เพื่อมหาชนจะได้วางเครื่องสักการบูชาพระศาสดาไว้ได้
ในเวลาที่ไม่ได้ประทับอยู่ที่วัดเชตวัน
พระอานนท์จึงไปกราบทูลพระพุทธองค์ว่า เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป ข้าพระองค์สามารถทำเจดีย์เป็นตัวแทนให้มหาชนสักการะแทนพระองค์ได้หรือไม่พระพุทธองค์ตรัสตอบ
ดังนี้
“อานนท์
ธาตุเจดีย์เธอไม่อาจทำได้
เพราะธาตุเจดีย์จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
แต่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ตถาคตอาศัยเป็นที่ตรัสรู้ แม้ตถาคตจะยังมีชีวิตอยู่หรือปรินิพพานแล้ว
ก็ถือเป็นเจดีย์ได้เหมือนกัน”
พระอานนท์จึงกราบทูลขอนำต้นโพธิ์มาปลูกไว้ทางเข้าวัดพระเชตวัน พระพุทธองค์เห็นด้วย จึงตรัสว่า ดีแล้วอานนท์ที่เธอทำอย่างนั้น
วัดเชตวันนี้จะเป็นเสมือนที่ตถาคตประทับอยู่เนื่องนิตย์ พระอานนท์จึงกล่าวกับพระโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์มากว่า
กระผมจะปลูกต้นโพธิ์ทางเข้าหน้าวัดเชตวัน
ขอท่านช่วยนำลูกโพธิ์สุกจากต้นมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้านั่งตรัสรู้มาให้ด้วย
พระโมคคัลลานะได้เหาะไปยังต้นมหาโพธิ์นั้นได้เอาจีวรรับลูกโพธิ์สุกที่หล่นจากขั้วซึ่งยังตกไม่ถึงพื้น นำมาถวายพระอานนท์
เมื่อได้เมล็ดโพธิ์มาแล้วพระอานนท์ได้ถวายแด่พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาทรงดำริว่า
ความเป็นพระราชามิได้ดำรงอยู่ตลอดไป ควรให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีปลูกจะเป็นการดีกว่า
จึงมอบผลโพธิ์สุกนั้นวางบนฝ่ามือของท่านเศรษฐี
เมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีวางเมล็ดโพธิ์ลงในหลุม
ก็งอกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ทันที
มีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปโดยรอบ พระราชาทรงรดต้นโพธิ์นั้นด้วยน้ำสุคนรส
หลังจากนั้นพระอานนท์ทูลขอให้พระพุทธองค์เข้าสมาบัติ ณ โคนต้นโพธิ์นั้น
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน
พระพุทธองค์เข้าสมาบัติตลอดราตรีหนึ่งตั้งแต่นั้นมาชาวเมืองก็พากันกราบไหว้ต้นโพธิ์แทนพระพุทธเจ้า
ที่เรียกชื่อ "อานันทโพธิ์" นั้นเป็นเพราะว่า
พระอานนท์เป็นผู้จัดการดูแลเรื่องการปลูกและรดน้ำจนต้นโพธิ์เจริญเติบโตนั่นเอง
และต้นโพธิ์ต้นนี้ยังมีอายุยืนตั้งอยู่ ณ ภายในวัดพระเชตวันมหาวิหาร
ตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้
ความประทับใจในการจาริกยังวัดเชตวันนี้ ได้แก่ ชาวเมืองสาวัตถีที่ มีจิตใจเป็นกุศล
คิดถึงพระพุทธองค์ในยามที่ท่านไม่ได้ประทับอยู่ในวัดเชตวัน จนต้องมีการนำปลูกต้นโพธิ์ไว้เป็นตัวแทนยามคิดถึงพระองค์ท่าน
นอกจากนี้ยังระลึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวัดเชตวันที่หลวงตาเล่าให้ฟัง
ได้แก่ เรื่องราว ของนางจิญจมาณวิกาที่รับอาสาจากพวกปริพาชกกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าทำนางให้ตั้งท้อง โดยให้เขากลึงไม้นูนผูกรัดไว้ที่เอว
แล้วก็ไป ร้องบอกพระพุทธองค์ขณะนั่งประทับเทศนาว่า
“ท่านสมณะโคดม” จะมัวมานั่งเทศน์หน้านวลอยู่ทำไม นี่เธอทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้กลับมิดูแล
อย่ามัวเทศน์โปรดพุทธบริษัทอยู่เลย จงไปตัดฟืนไว้เพื่อฉันดีกว่า
เวลาคลอดแล้วลูกเราจะได้มิลำบาก”
พระพุทธองค์ได้ทรงสดับ
จึงหยุดเทศนาและกล่าวกับนางจิญจมาณวิกา ว่า
“ภัคคินี ดูก่อนน้องหญิง เรื่องที่เธอกล่าวนั้น
คนอื่นเขามิได้รู้เรื่องด้วยดอกนะ จะมีเธอกับฉันเพียงสองคนเท่านั้นละที่รู้กัน”
พระพุทธองค์ทรงกล่าวด้วยความอิ่มเอมใจท่ามกลางความสงสัยของพุทธบริษัท
เรื่องนี้เดือดร้อนถึงพระอินทร์ที่ต้องทำหน้าที่รักษาผู้ทรงคุณธรรมสูงส่ง
จึงทรงแปลงกายเป็นหนูไปกัดเชือกที่ผูกไม้
ทำให้ไม้ที่ผูกติดไว้เหมือนเช่นคนมีครรภ์นั้นหลุดตกลงมา
พุทธบริษัทเห็นมารยากล่าวให้ร้ายที่นางจิญจ- มานวิกากระทำต่อพระพุทธองค์
ดังนั้นก็ดุด่าไล่ขว้างด้วยก้อนหินและไม้ นางจิญจมาณวิกา ได้วิ่งหลบหนี
พอพ้นคลองจักษุของพระพุทธองค์ นางจิญจ-มาณวิกาก็ถูกธรณีสูบลงสู่นรกมหาอเวจีด้วยกรรมอันหนักนั้น
นางจิญจมาณวิกาเมื่อชาติก่อนหน้านั้นนางเกิดเป็น
นางอมิตตดา ภริยาของชูชกหรือพระเทวทัตในชาติเดียวกัน
กับที่พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นพระเวสสันดรนั่นเอง
อีกเรื่องคือ เรื่องพระเทวทัตที่คิดปลงพระชนม์พระพุทธองค์ส่งนายขมังธนูเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์
ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูมอมเหล้าช้าง “นาฬาคีรี” จนมึนเมาดุร้ายแล้วปล่อยออกไปทำร้ายพระพุทธองค์
ตลอดจนกระทั่งยุยงหมู่พระสงฆ์คิดทำลายสงฆ์ให้แตกแยกกัน
ความเลวร้ายของพระเทวทัตนั้นหนักหนา
จนแผ่นดินที่รองรับอยู่นั้นทนมิได้ แยกตัวออก และสูบเอาพระเทวทัตตกสู่ขุมนรกอเวจี
เสวยอกุศลวิบากอีกนานเท่านาน จนแทบจะนับกาลเวลาไม่ได้เมื่อโดนธรณีสูบจนเหลือแต่ศรีษะ
ได้สำนึกผิดถวายกระดูกกราม และจึงอุทานว่าขอพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต
ด้วยเหตุความดีนี้เองพระพุทธเจ้าจึงตรัสพยากรณ์ว่า
พระเทวทัตในชาติสุดท้ายจะได้บังเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
ถ้าจะกล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งพุทธกาลที่เกิดขึ้นที่วัดเชตวัน
และ สาวัตถีทั้งหมดแล้ว
บทความนี้คงจะไม่จบลงง่ายๆ สาวัตถีเป็นเมืองที่มีผู้คนเป็นพระโสดาบันจำนวนมาก
มีพระอรหันต์ มีเศรษฐีใจบุญเป็นเมืองที่มีผู้หญิงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตเถรีถึง ๑๓
องค์ และยังเป็นเมืองที่มีคนถูกธรณีสูบถึง ๔ คนใน ๕ คนในครั้งพุทธกาล
นี่คงจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า สาวัตถีเป็นป้อมปราการของพระพุทธศาสนา
และมีความสำคัญจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น