หน้าเว็บ

9/01/2558

นักบวชสตรี ๓๒. วัดเชตวัน



            กองทัพธรรมเดินทางถึงวัดเชตวันเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว หลังจากสวดมนต์และปฏิบัติบูชาแล้ว จึงมีเวลาจำกัดในการจาริกในบริเวณวัด 
  สถานที่ที่สำคัญภายในวัดได้แก่ "พระมูลคันธกุฎี" ที่เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ผู้เขียนและเพื่อนแม่ๆได้ปิดทอง วางเทียนบูชา ก้มลงกราบน้อมจิตน้อมใจระลึกถึงพระพุทธองค์ ท่านประทับอยู่ ณ ที่นี้เป็นระยะเวลานานกว่าที่อื่นๆในพุทธประวัติ
            สถานที่สำคัญอีกแห่งในบริเวณวัดเชตวัน ที่กองทัพธรรมไปกราบสักการะ คือ "อานันทโพธิ์" ต้นโพธิ์ซึ่งชาวพุทธนับถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสองรองจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา และนับเป็นต้นโพธิ์ที่อายุยืนยาวที่สุด (ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาต้นปัจจุบันเป็นต้นที่ ๔ มีอายุ ๑๓๕ ปี)  ต้นโพธิ์นี้เป็นต้นโพธิ์ที่นำเมล็ดจากต้นพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกในสมัยพุทธกาลเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว โดยมีประวัติที่น่าประทับใจคือเป็นต้นโพธิ์ที่ปลูกขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนให้ระลึกถึงพระพุทธองค์ในยามที่พระองค์ท่านเสด็จออกไปจาริกออกไปแสดงธรรมภายนอกพระเชตวัน (พระพุทธองค์จะประทับที่วัดเชตวันเพียง ๓ เดือนในพรรษาเท่านั้น ส่วนอีก ๙ เดือนที่เหลือ พระองค์เสด็จจาริกออกไปแสดงธรรมในคามนิคมชนบทและหัวเมืองอื่น)
           ชาวเมืองสาวัตถีในสมัยนั้น มีความตั้งมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เวลาไปวัดจะนำดอกไม้ของหอมไปบูชาพระพุทธองค์ ตอนที่พระพุทธองค์ไม่อยู่ก็จะนำดอกไม้ธูปเทียนไปวางไว้ที่ประตูพระคันธกุฎี  ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นเหตุนั้น จึงขอร้องให้พระอานนท์ช่วยหาสถานที่สักการะแห่งหนึ่ง  เพื่อมหาชนจะได้วางเครื่องสักการบูชาพระศาสดาไว้ได้ ในเวลาที่ไม่ได้ประทับอยู่ที่วัดเชตวัน
          พระอานนท์จึงไปกราบทูลพระพุทธองค์ว่า เมื่อพระองค์เสด็จจาริกไป ข้าพระองค์สามารถทำเจดีย์เป็นตัวแทนให้มหาชนสักการะแทนพระองค์ได้หรือไม่พระพุทธองค์ตรัสตอบ ดังนี้
            อานนท์ ธาตุเจดีย์เธอไม่อาจทำได้  เพราะธาตุเจดีย์จะมีได้ในกาลที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว  แต่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ตถาคตอาศัยเป็นที่ตรัสรู้  แม้ตถาคตจะยังมีชีวิตอยู่หรือปรินิพพานแล้ว ก็ถือเป็นเจดีย์ได้เหมือนกัน
          พระอานนท์จึงกราบทูลขอนำต้นโพธิ์มาปลูกไว้ทางเข้าวัดพระเชตวัน  พระพุทธองค์เห็นด้วย จึงตรัสว่า  ดีแล้วอานนท์ที่เธอทำอย่างนั้น วัดเชตวันนี้จะเป็นเสมือนที่ตถาคตประทับอยู่เนื่องนิตย์  พระอานนท์จึงกล่าวกับพระโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์มากว่า กระผมจะปลูกต้นโพธิ์ทางเข้าหน้าวัดเชตวัน  ขอท่านช่วยนำลูกโพธิ์สุกจากต้นมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้านั่งตรัสรู้มาให้ด้วย
          พระโมคคัลลานะได้เหาะไปยังต้นมหาโพธิ์นั้นได้เอาจีวรรับลูกโพธิ์สุกที่หล่นจากขั้วซึ่งยังตกไม่ถึงพื้น  นำมาถวายพระอานนท์  เมื่อได้เมล็ดโพธิ์มาแล้วพระอานนท์ได้ถวายแด่พระเจ้าปเสนทิโกศล  พระราชาทรงดำริว่า ความเป็นพระราชามิได้ดำรงอยู่ตลอดไป ควรให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีปลูกจะเป็นการดีกว่า จึงมอบผลโพธิ์สุกนั้นวางบนฝ่ามือของท่านเศรษฐี
          เมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีวางเมล็ดโพธิ์ลงในหลุม ก็งอกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ทันที  มีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปโดยรอบ พระราชาทรงรดต้นโพธิ์นั้นด้วยน้ำสุคนรส  หลังจากนั้นพระอานนท์ทูลขอให้พระพุทธองค์เข้าสมาบัติ ณ โคนต้นโพธิ์นั้น เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน  พระพุทธองค์เข้าสมาบัติตลอดราตรีหนึ่งตั้งแต่นั้นมาชาวเมืองก็พากันกราบไหว้ต้นโพธิ์แทนพระพุทธเจ้า ที่เรียกชื่อ "อานันทโพธิ์" นั้นเป็นเพราะว่า พระอานนท์เป็นผู้จัดการดูแลเรื่องการปลูกและรดน้ำจนต้นโพธิ์เจริญเติบโตนั่นเอง และต้นโพธิ์ต้นนี้ยังมีอายุยืนตั้งอยู่ ณ ภายในวัดพระเชตวันมหาวิหาร ตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้
          ความประทับใจในการจาริกยังวัดเชตวันนี้ ได้แก่ ชาวเมืองสาวัตถีที่ มีจิตใจเป็นกุศล คิดถึงพระพุทธองค์ในยามที่ท่านไม่ได้ประทับอยู่ในวัดเชตวัน จนต้องมีการนำปลูกต้นโพธิ์ไว้เป็นตัวแทนยามคิดถึงพระองค์ท่าน นอกจากนี้ยังระลึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวัดเชตวันที่หลวงตาเล่าให้ฟัง ได้แก่ เรื่องราว ของนางจิญจมาณวิกาที่รับอาสาจากพวกปริพาชกกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าทำนางให้ตั้งท้อง โดยให้เขากลึงไม้นูนผูกรัดไว้ที่เอว แล้วก็ไป ร้องบอกพระพุทธองค์ขณะนั่งประทับเทศนาว่า
          ท่านสมณะโคดมจะมัวมานั่งเทศน์หน้านวลอยู่ทำไม นี่เธอทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้กลับมิดูแล อย่ามัวเทศน์โปรดพุทธบริษัทอยู่เลย จงไปตัดฟืนไว้เพื่อฉันดีกว่า เวลาคลอดแล้วลูกเราจะได้มิลำบาก
          พระพุทธองค์ได้ทรงสดับ จึงหยุดเทศนาและกล่าวกับนางจิญจมาณวิกา ว่า
          ภัคคินี ดูก่อนน้องหญิง เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขามิได้รู้เรื่องด้วยดอกนะ จะมีเธอกับฉันเพียงสองคนเท่านั้นละที่รู้กัน
          พระพุทธองค์ทรงกล่าวด้วยความอิ่มเอมใจท่ามกลางความสงสัยของพุทธบริษัท เรื่องนี้เดือดร้อนถึงพระอินทร์ที่ต้องทำหน้าที่รักษาผู้ทรงคุณธรรมสูงส่ง จึงทรงแปลงกายเป็นหนูไปกัดเชือกที่ผูกไม้ ทำให้ไม้ที่ผูกติดไว้เหมือนเช่นคนมีครรภ์นั้นหลุดตกลงมา พุทธบริษัทเห็นมารยากล่าวให้ร้ายที่นางจิญจ- มานวิกากระทำต่อพระพุทธองค์ ดังนั้นก็ดุด่าไล่ขว้างด้วยก้อนหินและไม้ นางจิญจมาณวิกา ได้วิ่งหลบหนี พอพ้นคลองจักษุของพระพุทธองค์ นางจิญจ-มาณวิกาก็ถูกธรณีสูบลงสู่นรกมหาอเวจีด้วยกรรมอันหนักนั้น
          นางจิญจมาณวิกาเมื่อชาติก่อนหน้านั้นนางเกิดเป็น นางอมิตตดา ภริยาของชูชกหรือพระเทวทัตในชาติเดียวกัน กับที่พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นพระเวสสันดรนั่นเอง
          อีกเรื่องคือ เรื่องพระเทวทัตที่คิดปลงพระชนม์พระพุทธองค์ส่งนายขมังธนูเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์ ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูมอมเหล้าช้าง นาฬาคีรี จนมึนเมาดุร้ายแล้วปล่อยออกไปทำร้ายพระพุทธองค์ ตลอดจนกระทั่งยุยงหมู่พระสงฆ์คิดทำลายสงฆ์ให้แตกแยกกัน ความเลวร้ายของพระเทวทัตนั้นหนักหนา จนแผ่นดินที่รองรับอยู่นั้นทนมิได้ แยกตัวออก และสูบเอาพระเทวทัตตกสู่ขุมนรกอเวจี เสวยอกุศลวิบากอีกนานเท่านาน จนแทบจะนับกาลเวลาไม่ได้เมื่อโดนธรณีสูบจนเหลือแต่ศรีษะ ได้สำนึกผิดถวายกระดูกกราม และจึงอุทานว่าขอพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ด้วยเหตุความดีนี้เองพระพุทธเจ้าจึงตรัสพยากรณ์ว่า พระเทวทัตในชาติสุดท้ายจะได้บังเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
          ถ้าจะกล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งพุทธกาลที่เกิดขึ้นที่วัดเชตวัน และ  สาวัตถีทั้งหมดแล้ว บทความนี้คงจะไม่จบลงง่ายๆ  สาวัตถีเป็นเมืองที่มีผู้คนเป็นพระโสดาบันจำนวนมาก มีพระอรหันต์ มีเศรษฐีใจบุญเป็นเมืองที่มีผู้หญิงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตเถรีถึง ๑๓ องค์ และยังเป็นเมืองที่มีคนถูกธรณีสูบถึง ๔ คนใน ๕ คนในครั้งพุทธกาล นี่คงจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า สาวัตถีเป็นป้อมปราการของพระพุทธศาสนา และมีความสำคัญจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น