โรงเรียนจ่าทหารเรือชายทะเลแสนสวยหลังเขา
มีทั้งความลำบาก ความเหนื่อยยาก แดดแผดเผาผิวไหม้เกรียม เหงื่อไคล และกลิ่นไอเหงื่อ
มีคนกล่าวเปรียบเปรยว่า กว่าจะเรียนจบนักเรียนต้องเสียเหงื่อกันเป็น "ปี๊บ"
แต่บางคนเถียงว่าไม่ใช่แค่ปี๊บ มากกว่านั้น เป็น "ตุ่ม" ต่างหาก
การฝึกฝนที่หนักนี้ได้หล่อหลอมพวกเขาให้เป็นชาวเรือที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ ในขณะเดียวกันท่ามกลางความเหนื่อยยากเหล่านี้
กลับเจือด้วยมิตรภาพ ความสามัคคี ความทรงจำ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุข ของการมี
"เพื่อน พี่ และ น้อง"
และไม่ใช่เท่านั้น
ยังรวมถึงความรักความเอื้ออาทรของข้าราชการ และลูกจ้างฝ่ายต่างๆ ที่มีส่วนในการดูแล
เอาใจช่วยนักเรียนที่เสมือนลูกหลานทหารเรือ ทั้งด้านการฝึก การเรียน การสอน
การกินอยู่หลับนอน การเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่แม่บ้านทหารเรือยังได้ช่วยดูแลเรื่องการซักรีดผ้าให้นักเรียน
แม่แก้วจำได้ว่าแม่บ้านที่รับซักผ้าให้นักเรียนจะรีดผ้าลงแป้งชุดกลับบ้านของนักเรียนอย่างตั้งใจ
เหมือนจะต้องการเสกมนต์ให้นักเรียนผ่านการตรวจเครื่องแบบและได้กลับบ้าน นักเรียนรุ่นเก่าเรียนจบไป
ก็มีนักเรียนรุ่นใหม่รับเข้ามาแทน นี่คือวงจรชีวิตภายในเกล็ดแก้ว
การรับนักเรียนจ่าใหม่นี้
ทางกรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ยศ.ทร.) ซึ่งเป็นหน่วยแม่ของ รร.ชุมพลฯ
เป็นหน่วยดำเนินการเรื่องการรับสมัคร การสอบคัดเลือกนักเรียนจ่า แล้วส่งมาให้
รร.ชุมพลฯ ดำเนินการผลิตนายทหารประทวนตามสาขาต่างๆ ที่กองทัพเรือต้องการ
พวกครูฝึกได้พักไม่นาน
นักเรียนจ่าใหม่ที่สอบผ่านการคัดเลือกมาได้ จะถูกส่งตัวมาเข้ารับการฝึก "ภาคสาธารณะ"
ซึ่งเป็นการฝึกเพื่อปรับพื้นฐานจากพลเรือนมาเป็นนักเรียนทหารที่มีระเบียบวินัย
มีความแข็งแรง อดทน ช่วงการฝึกนี้ แม่แก้วจะได้ยินเสียงนักเรียนจำนวนประมาณหนึ่งพันนายเดินและวิ่งภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ของโรงเรียน
เสียงเช็คเท้า "ซ้ายๆ ซ้ายขวาซ้าย นับเว้นจังหวะ หนึ่ง สอง สาม สี่
หนึ่งสองสามสี่ ซ้ายๆซ้ายขวาซ้าย" ดังตลอดวันในช่วงเปลี่ยนสถานที่เรียน
นักเรียนมีกิจกรรมเรียนและฝึกความเป็นทหารและชาวเรือที่โน่นที่นี่ทั้งวันภายในโรงเรียนอันกว้างใหญ่
นักเรียนจ่าใหม่จำนวนนับพันนายนี้ทำให้โรงเรียนคึกคักมาก เสียงร้องเพลงทหารเรือ เพลงชาวเรือ
และเพลงเพราะๆกินใจมากมาย ดังก้องไปทั่วโรงเรียน
นักเรียนร้องเพลงในตอนเดินแถว และตอนวิ่งรอบโรงเรียน เสียงเพลงแว่วมาเข้าหูผู้ที่ทำงานและพักอาศัยภายใน
รร.ชุมพลฯ เป็นระยะๆตลอดวัน เพลงที่แม่แก้วชอบมากและจำได้แม่นจนถึงทุกวันนี้
คือ เพลง "สายโลหิต" ที่สื่อทั้งความเป็นทหาร และความรักของวัยหนุ่มสาว
เนื้อเพลงว่า
"ข้าคือชายชาญ
ชาติทหาร วิญญาณ แห่งนักรบไทย ศึกนี้
หรือศึกไหน หัวใจไม่เคยหวั่นเกรง และความรักข้า ก็คือ ดวงใจ เจ้าดวงนี้เอง ใครหาญมาข่มเหง
ข้าเอง จะหยุดมัน
ออกศึกข้านึกแต่รบ
และรบ จบศึกข้านึกแต่รักเจ้าเท่านั้น หากรอดชีวิตกลับมาหากัน หวังให้เจ้านั้นดูแลหัวใจ
ชีพพลีนี้เพื่อแผ่นดิน
ชีวา ต้องมามลาย ยังขอป้องปกไว้ ด้วยสายโลหิตของเรา"
อากาศในเดือนพฤษภาคมของทุกปีร้อนมาก
ขนาดเราอยู่เฉยๆยังเหงื่อออก แต่นักเรียนจ่าใหม่ต้องวิ่ง ต้องฝึก และถูกทำโทษ เพื่อปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้เป็นทหารเรือ
ช่วงนี้จึงมีนักเรียนบางนายที่ถอดใจลาออก นักเรียนที่อยู่ต่อถ้าไม่อยู่ด้วยความฝันของตนเองที่จะเป็นทหารเรือ
ความฝันที่จะเป็นหนึ่งในร้อยได้ไปอยู่โรงเรียนนายเรือ หรืออยู่ด้วยความหวังของพ่อแม่ สอบเข้ามาได้แล้วจะถอยจะลาออกกลับบ้านก็อายเพื่อนบ้าน
บางนายมีฐานะยากจน การได้มาเป็นทหารนี้ คือ ความหวังของครอบครัว
เมื่อเรียนจบได้ติดยศ ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการทหาร แม้เงินเดือนน้อยนิด
แต่ก็มีเบี้ยเลี้ยง มีสวัสดิการ มีสิทธิในการรักษาพยาบาลพ่อแม่ลูกเมียฟรี
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นแรงผลักดันให้นักเรียนอยู่ต่อ
ภาคสาธารณะนี้จึงเป็นการวัดใจขั้นแรก
ว่า นักเรียนยอมรับสภาพชีวิตทหารเรือ ที่ต้องปฏิบัติงานตามคำสั่งได้ทุกเมื่อ
ทุกเวลา โดยไม่มีเงื่อนไขได้หรือไม่ ช่วงนี้แม่แก้วและคุณครูยังไม่ได้สอนภาควิชาการ
จึงได้แต่แอบเมียงมองการฝึกของนักเรียนจ่าใหม่อย่างเอาใจช่วย คอยฟังข่าวจากแผนกบัญชีพลว่ามีนักเรียนลาออกมากหรือไม่
ถ้านักเรียนลาออกจะมีการเรียกตัวสำรองมาแทน
ภาคสาธารณะนี้ใช้เวลาประมาณ
๑ เดือน นักเรียนจ่าใหม่จะได้รับการประดับเครื่องหมายชั้นปีที่ ๑ และปิดภาคด้วยการสวนสนามอย่างสวยงาม
นายทหารฝึกและครูฝึกได้เป็นผู้นำและร่วมในการสวนสนามด้วย (ดูเท่มาก) แม่แก้วได้ร่วมชมการสวนสนามที่เข้มแข็งสวยงามพร้อมเพรียงนี้อย่างยินดีในความสำเร็จก้าวแรกของนักเรียน
นักเรียนจ่าใหม่ที่ผ่านการฝึกภาคสาธารณะแล้วจะเป็น
"น้อง" ชั้น ๑ ส่วนชั้น
๑ ในปีก่อนได้เลื่อนขึ้นมาเป็น "พี่" ชั้น ๒ จากที่เคยเป็นน้องชั้น ๑
ที่มอมแมมหมดเรี่ยวหมดแรง กลับเติบโตเป็นพี่ชั้น ๒ ที่ดูสบายๆ เนื้อตัวสะอาดสะอ้านขึ้น คอยดูแลน้อง สอนน้อง ฝึกให้น้องทำโน่นทำนี่ให้ สั่งทำโทษน้องบ้าง
ซึ่งดูเผินๆเหมือนพี่เอาเปรียบน้อง แต่แท้จริงแล้ว
แฝงด้วยการฝึกให้เชื่อฟังผู้อาวุโสกว่า หรือผู้บังคับบัญชา
ซึ่งจำเป็นต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการโต้เถียง ในสถานการณ์การรบที่คับขัน
ต้องมีความเด็ดขาด การฟังคำสั่งและปฏิบัติตามเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ภารกิจลุล่วงและเอาชนะข้าศึกได้
ระบบอาวุโสจึงเป็นระบบสำคัญในโรงเรียนทหารทุกแห่ง
เมื่อปิดภาคสาธารณะ
นักเรียนจะได้รับการปล่อยกลับบ้าน ก่อนที่จะมาเข้าชั้นเรียนภาคต้น
ภาคการเรียนวิชาการใน รร.ชุมพลฯ มี ๒ ภาค คือ ภาคต้น ภาคปลาย และมีการฝึกภาคทะเลบนเรือเพื่อเรียนรู้วิชาชีพทหารเรือ
นักเรียนจะเรียนเป็นระยะเวลา ๒ ปี แล้วได้ติดยศเป็นจ่าตรี
ดังได้เล่ามาแล้วในตอนต้น
นักเรียนจ่า
เหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของเรา รอบๆ จุดศูนย์กลางนี้ มีฝ่ายต่างๆ ร่วมกันดูแล ทำหน้าที่ของตน
ในการเรียนการสอน การฝึก การกินการอยู่ การจัดเลี้ยง ที่กินที่นอน
การเจ็บไข้ได้ป่วย รวมถึงพ่อบ้านทหารเรือ และแม่บ้านที่หารายได้พิเศษโดยการรับส่งนักเรียนกลับบ้าน
ขายของกินของใช้ ขายน้ำ ขายขนม รับซักผ้า ให้กับนักเรียน และอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯช่วงที่นักเรียนอยู่ในโรงเรียน ในโรงเรียนจะคึกคักและมีชีวิตชีวาด้วยเสียงเดินแถว เสียงนับเวลาถูกทำโทษรวม เสียงวิ่งปล่อยม้าหน้า บก. ไปเสาธง นักเรียนจ่ามีกิจกรรมต่างๆ ทั้งวันตั้งแต่ตื่นนอนตอนตีห้าครึ่งด้วยเสียงเสียงแตรปลุกดังทั่วโรงเรียนให้ตื่นยามเช้ามืด พร้อมเสียงประกาศเชิญชวนให้ตื่นนอนว่า "ตื่น ตื่นหมดคน" (ถ้าไม่ตื่น...โดนรับประทานแน่) จนถึงเวลาสวดมนต์ แยกย้ายไปเตรียมตัวเข้านอนอีกครั้งตอนสี่ทุม เสียงแตรนอนโหยหวนชวนนอนพร้อมประกาศเชิญชวนประมาณว่ามานอนกันเถอะ ว่า "นอน นอนหมดคน"
ส่วนเรีอตรีหนุ่ม หรือนายทหารฝึกที่เรียนจบจาก รร.นายเรือ แล้วถูกส่งมาอยู่ รร.ชุมพลฯ เพื่อถ่ายทอดความเป็นทหารและชาวเรือให้กับนักเรียนจ่ารุ่นละ ๑ ปี รุ่นแล้วรุ่นเล่า จากที่ปีแรกเป็นรุ่นพี่อายุมากกว่าแม่แก้ว ปีต่อมาเป็นรุ่นอายุเดียวกันและรุ่นน้องๆต่อมาอีกหลายรุ่น การทำงานอยู่ใน รร.ชุมพลฯ หลายปี จึงทำให้แม่แก้วได้รู้จักทั้งลูกศิษย์นักเรียนจ่า นายทหารฝึก ครูวิชาต่างๆ และเพื่อนร่วมงานมากมายทุกสาขาอาชีพ ที่ต่อมา เมื่อย้ายออกมาจาก รร.ชุมพลฯแล้ว ยังได้พบเจอ ได้ร่วมงานกัน ทักทายกันตลอดชีวิตการรับราชการ
เกล็ดแก้วเมืองติดทะเลหลังเขาแสนสวย
เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ในตัวเองยากที่จะมีที่แห่งใดเหมือนได้ เป็นวงจรที่ดูเผินๆเหมือนซ้ำรอยเดิมทุกปี แต่ในวงจรชีวิตที่ดูเหมือนราบเรียบนี้ หากมีเรื่องที่พิเศษหรือเรื่องที่ไม่ปกติเกิดขึ้น
ข่าวจะแพร่กระจายปากต่อปากและรู้กันไปทั่วอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าไม่ต้องมีไลน์ หรือมีเฟชบุ๊คเหมือนในสมัยนี้ ก็รู้กันได้ทั่วถึง ตามประสาสังคมเล็กๆหลังเขาที่ไม่ค่อยมีเรื่องตื่นเต้น
จึงราวกับว่าไม่มีความลับใดๆเลยในเกล็ดแก้ว ผู้บังคับบัญชาท่านหนึ่งถึงกับกล่าวเปรียบเปรยเรื่องนี้ว่า
" หากทำเหรียญสลึงเหรียญหนึ่งตกลงบนพื้นในเกล็ดแก้ว เสียงของเหรียญเล็กๆที่กระทบพื้นนี้จะดังก้องไปถึงเนินมะค่า"
เกล็ดแก้วเป็นเมืองที่ดูเหมือนเวลาเดินช้ากว่าโลกภายนอก
แต่กลับแฝงด้วยความเร่งรีบของนักเรียนจ่า เวลานักเรียนอยู่โรงเรียน โรงเรียนจะมีชีวิตชีวา
แต่พอนักเรียนปล่อยกับบ้าน หรือไปฝึกภาคทะเลนานๆ
ภายในโรงเรียนอันกว้างใหญ่นี้จะเงียบเหงามากอย่างผิดหูผิดตา ส่วนแม่แก้วเมื่อมาทำงานได้หลายเดือนแล้ว มีความรู้สึกว่าทุกวันเวลาที่ผ่านไปในเกล็ดแก้ว
นอกจากชีวิตการทำงานแล้ว ยังมีชีวิตส่วนตัว ที่มีพ่อบุญเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นทุกที
เหมือนมีแรงดึงดูดในหุบเขาที่ค่อยๆดึงเอาแม่แก้วเข้าไปอยู่ด้วยอย่างช้าๆอย่าง โดยไม่ทันให้รู้ตัว
^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น