หน้าเว็บ

7/18/2558

ตอนที่ ๑๗ จัดงานแต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่บ้านซอย ๒

            หลังจากที่พ่อบุญตระเตรียมบ้านร้างซอย ๒ ให้พร้อมสำหรับอยู่ โดยถูบ้านทุกวันจนเห็นลายไม้ และถางหญ้ากับต้นไม้ที่เลื้อยเข้ามาในบริเวณบ้านตามที่เล่ามาในตอนที่แล้ว ส่วนแม่แก้วได้ไปขอร้องให้กองบริการมาช่วยซ่อมแซมบ้านให้พออยู่ได้ เนื่องจากสภาพบ้านมีปลวกกินผนังไม้ผุทะลุอยู่หลายจุด ทางหัวหน้าแผนกโยธา ได้ใจดีส่งช่างมาซ่อมผนังทาสีจนพออยู่ได้ เอาเป็นว่าในที่สุดบ้านครอบครัวของเราก็พร้อมเข้าอยู่แล้ว
          งานแต่งงานของพ่อบุญและแม่แก้ว จัดขึ้นตามฤกษ์ที่หลวงตาที่วัดแถวบ้านให้มา ในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๑ ที่ ๔ ปีจะมีวันครบรอบแต่งงานได้ครั้งหนึ่ง  ณ ราชนาวีสโมสร การเตรียมงานนี้ เราไม่มีเงินมากมาย จึงจัดแบบประหยัด ค่าใช้จ่ายหลักๆ คือ แหวนแต่งงาน กับสินสอดเล็กน้อย ของชำร่วยไปเดินซื้อหาเอาแถวๆ พาหุรัดมาติดสติกเกอร์เอง  งานหมั้นตอนเช้าใช้ชุดเครื่องแบบขาวน้อย งานแต่งตอนหัวค่ำเจ้าบ่าวใช้ชุดขาวใหญ่ ส่วนเจ้าสาวใช้ชุดแต่งงานของพี่สาวที่เพิ่งแต่งไปก่อนหน้านั้นไม่นาน
          ช่วงเช้าหลังงานหมั้น ทางบ้านแม่แก้วจัดพิธีเลี้ยงพระให้ สำหรับงานแต่งทางราชนาวีสโมสรรับจองและมีมัดจำเล็กน้อย การจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ห์สมัยนั้นราคาไม่แพง หลังจากงานแต่งงานเสร็จในคืนนั้น พี่สาวคนโตของแม่แก้วช่วยที่ช่วยดูแลเรื่องรับซองได้เปิดซองเอาเงินช่วยงานออกมานับทันทีเพื่อจ่ายค่าอาหารในงาน โชคดีที่เงินช่วยงานในซองพอจ่าย ไม่งั้นคงขายหน้าแย่
          การย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนหอบ้านซอย ๒  ของเรานั้นง่ายมาก กล่าวคือ เราใช้มอเตอร์ไซด์หอบเสื้อผ้าที่มีอยู่ในไม่เยอะเท่าไรจาก BOQ ที่พ่อบุญอยู่ กับบ้านแฝดซอย ๓ ที่แม่แก้วอยู่  วิ่งขนสักสองสามรอบก็เสร็จ  บรรยากาศเหมือนหอบเสื้อหอบผ้าหนีตามกันเลยที่เดียว 
          เรามีตู้เสื้อผ้าที่ซื้อใหม่ ๑ ใบ ราคาประมาณพันบาท มีที่นอน ๑ หลังซื้อจากร้านขายเฟอร์นิเจอร์ในตลาดสัตหีบเช่นเดียวกัน ที่นอนนี้ราคาไม่แพง ด้านหนึ่งเป็นฟองน้ำ อีกด้านเป็นใยมะพร้าว นอนได้ไม่ถึงปีก็บุ๋มเป็นหลุมตามรอยตัวเรานอน ทำให้นอนแล้วปวดหลังเอาการ  โต๊ะกินข้าว ใช้โต๊ะนักเรียนเก่าๆที่เขาไม่ใช้แล้วมาวางต่อกันสี่ตัวเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซื้อผ้าพลาสติกเมตรสิบกว่าบาทมาปูคลุมโต๊ะ เท่านี้ก็ได้โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ก็เป็นเก้าอี้นักเรียนเก่าๆมาซ่อมใช้เช่นกัน  สำหรับโซฟารับแขกไม่มี อาศัยนอนดูทีวีบนพื้นไม้ มีหมอนหนุนหัวหน่อย เย็นสบายดี  ใครไปใครมาเยี่ยมเยียนก็รับแขกนั่งคุยกันบนพื้นบ้านนั่นแหละ
          ห้องครัวของเราก็มีของที่แพงหน่อย คือ เตาแก๊สกับถังแก๊ส (ตอนอยู่บ้านครูผู้หญิงใช้เตาขดลวดไฟฟ้า) ส่วนที่ล้างจานปรับปรุงจากโครงที่ล้างจานเดิมผุๆที่ติดมากับบ้าน ฝาตู้พังแล้ว นำมาซ่อมแกะฝาตู้ทิ้งไป แกะเปลือกไม้ที่ถลอกร่อนทิ้งไป กรุผิวด้วยผ้าพลาสติก  แล้วซื้อหลุมที่ล้างจานอลูมิเนียมราคาถูกมาวางใส่ลงไปที่โครงตู้  อ่างล้างจานนี้วางตรงหน้าต่างในบ้านส่วนที่จัดเป็นครัว (บ้านเรากว้างมาก) เวลาล้างจานจึงมีความสุขมาก เพราะได้มองวิวทุ่งหญ้าเขียวๆส่วนน้ำที่ล้างจานแล้วเราใช้สายยางขนาดใหญ่ยาวสักเมตรกว่าๆ ต่อเป็นท่อน้ำทิ้งลงตรงที่พื้นดินขอบบ้านเลย พอท่อตันเพราะเศษอาหารอุดตามรอยพับ แม่แก้วก็แค่เดินออกไปขยับตรงรอยพับให้เศษอาหารหลุดออกไป ไม่ต้องยุ่งยากเหมือนบ้านในเมืองที่ต้องระวังท่อตัน  ซึ่งตรงปลายท่อน้ำล้างจาน เราก็ปลูกต้นพริก พืชสวนครัวเล็กๆน้อยๆ ไว้เก็บกินได้อีกต่อ
          สำหรับเครื่องไฟฟ้าในบ้านที่จำเป็น ได้แก่ ตู้เย็น พัดลม เป็นสินเดิมของแม่แก้วที่ซื้อไว้ใช้ตอนอยู่บ้านแฝดซอย๓ สมบัติของพ่อบุญ ได้แก่ พัดลม กับวิทยุธานินทร์แบบเล่นเทป(รุ่นที่เป็นตลับเทปเส้นๆม้วนในตลับ) เทปที่ติดมาเป็นของวงดิอิมพอสสิเบิ้ล และภูสมิง เป็นต้น เครื่องไฟฟ้าเครื่องแรกที่เป็นสินสมรส ซื้อจากเงินที่เหลือจากการจัดงานแต่งงาน ได้แก่ ทีวีจอขนาด ๑๒ นิ้ว ยี่ห้อฟิลลิป ราคาหลายพันบาท ซึ่งพ่อบุญเห่อมาก คอยปรับภาพ หมุนเสาอากาศให้ชัดอยู่นาน เพราะคลื่นทีวีในเกล็ดแก้วไม่ค่อยชัด อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่า บ้านเราอยู่หลังเขา คลื่นมันคงข้ามเขามาลำบาก
          การดูทีวีในเกล็ดแก้ว ใช่ว่าจะดูได้ชัดทุกวัน ละครช่อง ๓ นี่ ถ้าดูติดแล้ว บางวันอาจดูไม่ได้เพราะคลื่นไม่ชัด ละครช่อง ๗ นี่ดีหน่อยชัดกว่าช่อง ๓ แต่เรามักชอบดูช่อง ๓ เลยต้องลุ้นเอาเป็นวันๆ ยิ่งถ้าตอนอวสานนี่อดดูอยู่บ่อยๆเพราะสัญญาณล่ม สมัยนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ตให้โหลดมาดูย้อนหลังเหมือนสมัยนี้
          เรื่องคลื่นต่างๆที่เข้ามาหลังเขายากนี้ เห็นจะแก้ยาก ตอนช่วงที่มีมือถือใหม่ๆ (ช่วงนั้นแม่แก้วย้ายออกมาแล้ว) น้องๆบอกว่า ต้องแขวนมือถือไว้ในจุดที่รับสัญญาณได้ ตามหน้าต่างห้องทำงาน เวลาจะโทรออกหรือรับสายต้องไปโทรที่ตำแหน่งนั้น  เหมือนกับที่ตอนแม่แก้วไปราชการที่เกาะช้าง จังหวัดระนอง ตอนนั้นไปสำรวจผลกระทบสภาพแวดล้อม ของหน่วยทหารเรือที่นั่น จะมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งที่ออกลูกเป็นมือถือ เพราะทหารทุกนายในหน่วยจะนำมือถือไปแขวนรับสัญญาณที่ต้นไม้ต้นนี้ และจัดทหารเข้ายามอยู่ใกล้ๆ เฝ้าโทรศัพท์ ถ้ามีสายเรียกเข้าจะวิ่งไปเรียนให้เจ้าของเครื่องมารับโทรศัพท์
          เครื่องซักผ้าในสมัยนั้นเป็นของฟุ่มเฟือย  เครื่องซักผ้าของบ้านเรา ได้แก่ กะละมังใบใหญ่ ๒ ใบ กับแปรงซักผ้า สถานที่ซักผ้า คือ ลานปูนหลังบ้าน ที่มองออกไป คือ วิวชายทะเล ลมทะเลพัดมา ขณะซักผ้าจึงรื่นรมย์ ใกล้ชิดธรรมชาติมาก วันดีคืนดีที่น้ำไม่ไหลมาเลย น้ำในถังเก็บจวนหมด ไม่พอใช้ซักผ้า ผ้าที่มีอยู่ก็ใช้จนไม่มีจะใส่แล้ว เราก็จะขนผ้ากองโตไปขอน้ำซักผ้ากับทหารที่เฝ้าบ้านรับรองริมทะเล เพราะบ้านรับรองมีถังน้ำขนาดใหญ่ และส่วนใหญ่มีแขกมาพักเฉพาะวันหยุด
          บ้านรับรองซอย ๑ ริมทะเลนี้ มีวงจรชีวิตที่ซ้ำๆ กล่าวคือ จะมีชีวิตชีวาในตอนสายๆวันเสาร์ที่แขกเดินทางมาถึงและเข้าพัก คืนวันเสาร์จะมีเสียงร้องเพลงและคุยกันดังลั่นมาถึงบ้านซอย ๒ พอสักสายๆวันอาทิตย์แขกก็เดินทางกลับ บ้านรับรองกลับมาเงียบเหงาไปอีก ๕ วัน จนเข้าวงรอบแขกมาพักใหม่ หากเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน หรือวันหยุดยาว แขกจะมาเที่ยวบ่อยขึ้น
          ส่วนเรื่องขาดแคลนน้ำในเกล็ดแก้วนี้  เป็นเพราะ น้ำไม่ไหล หรือไหลมาแป๊บเดียว หรือไหลอ่อนมากๆ ดังที่บอกแล้วว่า เกล็ดแก้วอยู่หลังเขา และห่างจากฐานทัพเรือสัตหีบมาก เรื่องน้ำจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้อย่างประหยัดและหาทางรองน้ำมาเก็บไว้ใช้ให้ได้มากที่สุด (คนสัตหีบ เวลาเห็นคนกรุงเทพฯใช้น้ำอย่างไม่ประหยัด เปิดทิ้งเปิดขว้าง จึงได้แต่ทำตาปริบๆด้วยความเสียดายน้ำที่หายาก)  
          พ่อบุญได้ลงทุนซื้อโอ่งลายมังกรมา ๑ ใบ แล้วขุดดินฝังโอ่งให้น้ำที่ไหลมาอ่อนๆไหลลงโอ่งฝังดิน (บ้านอื่นอาจไม่มีแรงดันไหลขึ้นถึงแล้ว แต่เรายังได้น้ำเพราะรองจากระดับพื้นดิน)  จากนั้นใช้ปั๊มไดร์โว่จุ่มในโอ่ง สูบน้ำเข้าไปเก็บในถังเก็บอีกต่อ นับว่ากลยุทธ์นี้ใช้ได้ดีทีเดียว เพราะทำให้เราได้น้ำมากขึ้น
          ชีวิตเริ่มต้นครอบครัวของแม่แก้วในเกล็ดแก้วเมืองหลังเขาริมทะเลแสนสวยนี้ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่ค่อยมีเงินทองและทรัพย์สมบัติ ข้าวของเครื่องใช้อะไรๆไม่ได้มีครบถ้วน และสะดวกสบายนัก แต่เป็นชีวิตที่ได้อยู่กับธรรมชาติ  รุ่นพี่ทหารเรือท่านหนึ่งบอกกับแม่แก้ว ตอนที่แม่แก้วขอย้ายเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯว่า
          "จะย้ายไปกรุงเทพเหรอ คิดดูให้ดีนะ ถ้าอยู่สัตหีบแล้วย้ายไปทำงานที่กรุงเทพฯ จะต้องคิดถึงสัตหีบมาก"

          ตอนนั้นแม่แก้วไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้วอย่างสนิทใจ ^^       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น